Showing posts with label ญี่ปุ่น. Show all posts
Showing posts with label ญี่ปุ่น. Show all posts

Sunday, January 20, 2013

antenna cafe จุดเริ่มต้นของมิตรภาพเล็กๆ

เมื่อเรือเฟอรี่ค่อยๆ เทียบท่า
ก็ถึงเวลาที่ผมต้องลงจากเรือแล้ว
ผมมองหาตู้โทรศัพท์เพื่อติดต่อโฮสต์เป็นอันดับแรก
โชคดีที่มันอยูู่ใกล้ๆ
โชคร้ายที่โทรไป แล้วดันฝากข้อความ
เสียฟรีไป 20 เยน

ผมโทรไปอีกครั้งด้วยความตื่นเต้น
"โมชิ โมชิ" โฮสต์รับสาย
ผมแนะนำตัว และบอกว่าได้มาถึงแล้ว
ด้วยความอ่อนด้อยทางภาษาอังกฤษ
ทำให้ผมจับใจความได้แค่ว่า
รออยู่นั้นละ เดี๋ยวไปรับ - -"














 

ต้องขอบคุณเจ้าตู้นี้ ที่ทำให้ผมรู้ว่า
  โทรศัพท์สาธารณะยังมีประโยชน์อยู่  




















                                                             



                                                                     
ผมเดินถ่ายรูปเล่นสักพัก
ไม่นานนัก ก็มีรถจี๊บ สีขาวขับตรงเข้ามา
กระจกรถค่อยๆเลื่อนลง
หน้าตาคุ้นๆ โฮสต์ผมนั้นเอง !!

(นี่คืออีกสิ่งสำคัญในการเลือกโฮสต์ ควรจะเลือกคนที่โพสต์รูปตัวเอง
สถานที่พัก บรรยากาศการทำงานไว้ด้วย จะทำให้เรารู้จักหน้าตาก่อนเจอตัวจริง)

ผมยัดเป้ใส่ท้ายรถ
ในรถมีเพื่อนที่เป็น wwoofer ด้วยกันอีก 2 คน 
ขณะที่รถกำลังเคลื่อนไป
เราเริ่มทำความรู้จักกัน

โฮสต์ผม เธอชื่อหลุยซัง (ซัง หมายความ คุณ ใช้เรียกคนที่อายุเยอะกว่า)
เป็นสาวจากโตเกียว ที่หนีความวุ่นวาย
มาเปิดร้านกาแฟที่เกาะเล็กๆแห่งนี้
เธอเล่าให้ฟังว่า ตอนเด็กๆ เธอเคยลงเรียนวิชาภาษาไทยด้วย
ตอนนี้ลืมไปหมดแล้ว จำได้แค่ "สวัสดีค่ะ" "ขอบคุณค่ะ"

wwoofer คนแรกเป็นผู้ชาย ผิวคล้ำออกไปทางดำ
มาจากอเมริกา ชื่อ แบรนดอน (brandon)
แบรนดอนอายุน้อยกว่าผมไม่กี่ปี กำลังเรียนอยู่มหาวิทยาลัย
สนใจประเทศญี่ปุ่น และมีแพลนว่าจะไปwwoof ในหลายๆทีของโตเกียว

wwoofer อีกคนชื่อ คานะซัง เป็นคนญี่ปุ่น บ้านเกิดอยู่เกียวโต
กำลังตัดสินใจย้ายมาอยู่เกาะนี้ เพราะอากาศดีกว่าในเมืองมาก

ส่วนผมเป็นคนไทย ที่พูดญี่ปุ่นก็ไม่ได้ ภาษาอังกฤษก็ไม่คล่อง
มีแต่ใจที่รักการเดินทางเท่านั้น ฮิ้วว

หลุยซัง ขับรถวนชมวิว ให้คานะซังลงไปถ่ายรูป
ผมเลยถือโอกาส ลงไปถ่ายบ้าง


แอบถ่ายคานะซังจากด้านหลัง













                                               















                                             
ผมรู้สึกว่า ถ้าถ่ายจากมุมสูงจะสวยกว่านี้
วิวตรงนี้มันโล่งมาก

จากที่ชื่นชมวิวจนหน่ำใจ หลุยซังก็ขับพามายังร้าน antenna
ร้านกาแฟเล็กๆ ที่นับจากนี้อีก 9 วันผมจะต้องทำงานอยู่ที่นี้

















antenna เป็นร้านขายของที่ระลึก มีขนม ผลิตภัณฑ์ของเกาะนี้
รวมไปถึงจากประเทศแถบยุโรปด้วย และเป็นคาเฟ่เล็กๆที่ให้คนแถบนี้
มากินขนมปังและจิบกาแฟยามบ่าย ร้านเปิดบ่ายโมง และปิด 1 ทุ่ม

มาถึงก็เริ่มงานทันที
คิดในใจ นี่จะไม่ให้(กู)พักเลยหรือไง เดินทางจากโตเกียว
ตั้งแต่เมื่อวานมาเลยนะ - -*

แบรนดอน ทำหน้าที่สอนงานให้ เพราะ เขาอยู่ที่นี้มาเป็นเดือนแล้ว
ก่อนเปิดร้าน ก็ไม่มีอะไรมาก รดน้ำต้นไม้ กวาดหยากไย่ กวาดพื้น ถูพื้น ทิ้งขยะ
อืมม ไม่มีอะไรมาก..

เมื่อลูกค้าเข้ามาร้าน เราต้องรีบเสิร์ฟน้ำเปล่า ก่อนเป็นอันดับแรก
แล้วเอากระดาษจด ไปรับออร์เดอร์

ด้วยความที่ฟังภาษาญี่ปุ่นไม่ได้ เลยต้องขอบายหน้าที่นี้

(แนะนำว่าถ้าคุณมา wwoof และจะทำงานในร้านคาเฟ่ ควรจะมีทักษะในการพูด
 และฟังนิดนึง  หรือพกหนังสือสอนภาษาญี่ปุ่นมาอ่านด้วย จะได้ประโยชน์มากๆ)

ช่วงพักกลางวัน อาหารมื้อแรกที่ตกถึงท้อง เป็นขนมปังกับแยม และมะเขือเทศ
o_O" บ้านเขากินกันแค่นี้หรอ นี่มื้อกลางวันนะเนี่ยยย
ฝืนใจกินจนหมด รวมถึงมะเขือเทศที่ไม่ชอบด้วย

ผมหยิบข้าวแต๋น และทุเรียนกรอบออกจากกระเป๋า
แบ่งให้โฮสท์และเพื่อนวูฟทานกัน
คานะซังติดใจข้าวแต๋นมาก ส่วนแบรนดอนบอกว่าไม่เคยเห็นทุเรียนมาก่อน
ไม่รู้หน้าตาเป็นยังไง ผมเล่าสรรพคุณของมันให้ฟังว่า
บางคนบอกว่า มันเหม็นเหมือนขี้ และสนามบินห้ามนำทุเรียนขึ้นด้วย
แบรนดอนฮา บอกว่าเขาจินตนาการไม่ออกเลย
ถ้ามาไทย ทุเรียนคือสิ่งแรกที่เขาอยากลองทาน

หมดเวลาพัก ก็ได้เวลาทำงาน
วันนี้ลูกค้าค่อนข้างน้อย
เขาก็พยายามให้ผมเก็บนู้น กวาดนี้

ผมรู้สึกค่อนข้างเกร็ง
เวลาต้องมาอยู่คนเดียวกับคนแปลกหน้า
ที่สื่อสารกันคนละภาษา แต่มันสนุกตรงที่ได้เรียนรู้ระหว่างกันนี่ละ
จากคนไม่รู้จัก ก็จะเปลี่ยนมาทักกัน โดนไม่เขินอาย

ตกเย็นของวันนั้น ที่ร้านมีฉายหนัง เปิดผ่านโปรเจกเตอร์
มีกลุ่มคนเล็กๆ มานั่งชม ผมว่าคงเป็นคนรู้จักของหลุยซังนี่ละ

หนังที่ฉายเป็นเรื่องราวของชาวติมอร์ตะวันออก
ที่พยายามลุกขึ้นต่อสู้ เพื่อแยกตัวเป็นอิสรภาพจากประเทศอินโดนีเซีย
เรื่องมันเศร้าตรงที่ว่า รัฐบาลญี่ปุ่นเองกลับสนับสนุนอาวุธฝ่าย
อินโดนีเซีย เพื่อต่อต้านการเรียกร้องอิสรภาพในครั้งนี้
บางคนดูถึงกับน้ำตาซึม
แต่ผมดูถึงกลับง่วงซึม
เพราะมันเป็น subtiltle ภาษาญี่ปุ่น
ดูไปง่วงไป - -
(ขอบคุณ คานะซังที่แปลให้ฟังทีหลัง)

มีพี่คนคนนึงติสต์มาก ด้วยความซาบซึ้ง
เขาหยิบกีต้าร์ขึ้นมา ร้องเพลงคิดเนื้อกันสดๆ
เพลงที่สื่อถึงความเสียใจกับ คนที่จากไป
และให้กำลังใจกับคนที่ยังมีชีวิตอยู่

บรรยากาศเศร้า ปนความอบอุ่น

ผมรู้สึกได้ถึง มิตรภาพเล็กๆ ที่ก่อตัวขึ้น..



Friday, January 18, 2013

ระหว่างทางไป wwoof

31 ส.ค. 2555  20:00 น.  ณ shinjuku willer express bus





















                                                                

ผมกำลังนั่งใจจดใจจอ รอขึ้นรถบัส เพื่อเดินทางไปยังจังหวัดฮิโรชิม่า
อีกประมาณ 10 นาทีเขาคงจะเรียกผม ให้ไปเข้าแถว
แต่ผมคงฟังไม่ออกหรอก
อาศัยเดินตามๆเขาไป...

ผ่านมาอาทิตย์นึงแล้วสินะ
ที่ผมได้มาอยู่ที่ญี่ปุ่น
เมืองที่ผมใฝ่ฝันว่าอยากจะมาเยือนอีกสักครั้ง
ครั้งนี้ต้องขอบคุณน้องสาวผมมาก
ที่พาผมไปนู้นไปนี้
แถมเลี้ยงข้าวผมอีกต่างหาก
แต่นับจากนี้ ผมคงต้องเดินทางคนเดียวแล้ว
(จ่ายตังค์เองอีกต่างหาก TT TT" )

ผมรู้สึกหวั่นๆกับการไป wwoof ยังไงก็ไม่รู้
อาจจะเพราะผมต้องเดินทางคนเดียว
ในประเทศที่ผมไม่เข้าใจภาษา

มีคนแนะนำให้ผมใช้วุ้นแปลภาษาของโดเรมอน
เผื่อจะช่วยให้คุยกับคนญี่ปุ่นรู้เรื่องได้บ้าง


10 นาทีผ่านไป ผมค่อยๆ เดินตามเขาขึ้นไปบนรถ
รถบัส บ้านเขาก็ไม่ต่างจากบ้านเราเท่าไร
แต่ที่นี้ถ้าเป็นรถที่วิ่งกลางคืนจะมีม่านสีดำ
ปิดทั้งคันรถ เพื่อไม่ให้แสงข้างนอกรอดเข้ามา

เดินมายังไม่ทันจะหย่อนตูดถึงเบาะ คนข้างๆที่นั่งผมก็ทักทาย
ถามว่ามาจากไหน
 " Thailand "
ผมตอบไปด้วยความภาคภูมิใจในความเป็นไทย

" สวัสดีครับ มาเที่ยวญี่ปุ่นหรอครับ "
เฮ้ย เขาพูดไทยได้
ผมคิดในใจสงสัยจะกินวุ้นแปลภาษามาแน่ๆ

แต่คุยไปคุยมา เขาพูดไทยได้คล่องมากๆ
เขาบอกว่า เขาไปเมืองไทยบ่อย ปีละ 3-4 ครั้ง
เกือบ 10 ปีแล้ว โอ้วว
ผมรู้สึกอุ่นใจทันที ที่มีคนเข้าใจภาษาไทย

จากโตเกียว ถึงฮิโรชิม่า
ระยะทางพอๆกับ นั่งรถจากกรุงเทพ ไป ภูเก็ต

รถถึงสถานีฮิโรชิม่า 7.30น. เป๊ะๆ
ญี่ปุ่นนี้เขาตรงเวลาจริงๆ

การเดินทางเกือบ 10 ชม.ของผมยังไม่จบ
มันต้องนั่งรถบัสไปอีกชั่วโมง และนั่งเรือข้ามฝากต่อไปอีก
เลือกโฮสต์ซะไกล ก็ต้องไปให้ถึงละ

เมื่อลงจากรถ หรือไปยังที่ใหม่ๆ
คำที่ผมมักอุทานในใจ คือ
" กุจะไปทางไหนต่อดีวะ "
เพราะไม่รู้จะเดินต่อไปทางไหนจริงๆ
รู้สึกสับสน วุ่นวายแล้วตื้นเต้นไปหมด

แต่เมื่อรวบรวมสติได้ ป้ายกับแผนที่เป็นสิ่งสำคัญที่สุด

(ควรจะศึกษาเส้นทางดีๆ ว่าควรเดินไปทางไหน
และรถที่จะขึ้นจอดอยู่ป้ายไหน)


ผมใช้เวลาไม่นานนักก็เจอป้าย ตามที่จดไว้
เผื่อความแน่ใจ ผมก็เลยถามลุงกับป้าที่นั่งอยู่
ป้าพอพูดภาษาอังกฤษได้ เลยบอกผมว่า
เขาไปทางเดียวกัน แต่เขาจะลงก่อน
ผมต้องไปต่อ แค่นี้ผมก็ใจชื่นแล้ว





















                                               

นั่งไปสักพัก ป้าก็ยื่นกล่องข้าวมาให้
ในนั้นมี ข้าวปั้น 1 ก้อน ไข่ต้มครึ่งฟอง
บ๊วยดอง และขิงดอง

ไอ้ 2 อย่างแรกนั้นโอเคอยู่ แต่ 2 อย่างหลังนี่
ปกติผมจะไม่แตะมันด้วยซ้ำ
แต่ผมก็กินหมดด้วยความซาบซึ้งในน้ำใจ

ผมรู้สึกว่า ' มันอร่อยกว่าปกติ '

เมื่อถึงสถานีที่ลุงกับป้าต้องลง
เราโบกมือลา ผมโค้งคำนับ

รถบัสยังคงวิ่งต่อไป..

ไม่นานนักก็ถึงท่าเรือ
ผมรีบซื้อตั๋วแล้ววิ่งขึ้นเรือทันที



































                                

ไม่รู้ว่าถึงฝั่งแล้วผมจะต้องเจอกับสถานการณ์แบบไหน
โฮสต์จะเป็นยังไง ผมจะได้ทำงานแบบไหน
แต่ผมเชื่อว่า 'ความสนุก' รอผมอยู่





















--------   TIPS  --------

- ผมเลือกใช้บริการของ willer bus เพราะมันถูกกว่านั่งรถไฟ ลองเข้าไปหาข้อมูลได้ที่
http://willerexpress.com/st/3/en/pc/buspass/index.php

- จะมีราคาบัตรเหมา 3 วัน 10000 yen แนะนำให้วางแผนการเดินทางไปพร้อมกับการเลือกโฮสต์

- หากต้องการมายังเกาะ oosakikamijima หรือโฮสต์เดียวกับผม จากสถานีฮิโรชิม่า
ให้นั่งรถบัสชื่อ kaguya himego ที่ ชานชาลา C หมายเลข 12 มาลงยัง takehara port



ขอให้สนุกกับการเดินทางครับ






























Thursday, November 22, 2012

ตามล่าหาฟูจิซัง ตอนที่ 2 yamanaka lake


เช้าวันนี้เราตื่นมา อยู่กันที่จังหวัดยะมะนะชิ (yamanashi)
ที่ตั้งของภูเขาไฟฟูจิและทะเลสาบทั้ง 5
ที่หลายเวบแนะนะว่า เห็นวิวภูเขาไฟฟูจิได้สวยมากกก

ทะเลสาบทั้ง 5 เกิดจากลาวาที่ไหลลงมาจากภูเขาไฟฟูจิ
เมื่อลาวาเย็นลง จึงยุบตัวเกิดกลายเป็นแอ่ง
พอหิมะบนยอดเขาละลาย จึงกลายเป็นทะเลสาบจนถึงปัจจุบัน
(เรื่องมันยาวจริงๆ)

Yamanakako (ทะเลสาบยามานากะ)
เป็นทะลสาบที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาทะลสาปทั้ง 5
สามารถเห็นวิวฟูจิซังสะท้อนน้ำสวยมาก
(ถ้าโชคดีอ่านะ - -*)

Kawagujiko (ทะเลสาบคาวากุจิ)
เป็นทะเลสาบยอดนิยมของนักเที่ยว สามารถนั่งกระเช้าขึ้นไปชมวิว
ฟูจิซังได้ด้วย

Saiko (ทะลสาบไซ)
อยู่ติดกับ ทะลสาบคาวากุจิ จะเน้นสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติ

Shojiko (ทะลสาบโชจิ)
เป็นทะเลสาปที่เล็กที่สุดในบรรดาทะลสาบทั้ง5

Motosuko (ทะลสาบโมโตซุ)
เป็นทะลสาบที่ลึกเป็นอันดับ 9 ของญี่ปุ่น มีความสำคัญตรงที่วิวทะเลสาบนี้
สวยจนนำไปพิมพ์บนแบงค์พันเยน

File:1000 Yen from Back.jpg


ผมเดินออกมาจากที่พักไม่ไกลนัก
ก็ตกใจที่เห็นฟูจิซัง อยู่หลังสถานี แค่นี้เอง














                                               

ผมคิดในใจว่า
ถ้าภูเขาไฟฟูจิอยู่หลังบ้านเราแบบนี้
เราจะตื่นเต้นกับมันมั้ย
เราจะมองมันทุกวันรึเปล่า
หรือก็แค่ภูเขาธรรมดา

มันอาจจะเหมือนกับชื่อเพลงพี่เป้ ที่ว่า

"สิ่งที่สวยงามมักอยู่ไกลออกไป"

เราเลยเดินทางไกลมาดูภูเขาไฟ ถึงญี่ปุ่น

มาดู ในสิ่งที่บ้านเราไม่มีให้เห็น
มากิน ในสิ่งที่บ้านเราไม่มีให้ชิม
ไม่ว่ายังไง
สิ่งที่ได้กลับไปมันก็คือ ประสบการณ์

(สวยแบบนี้ ผมคงมองทุกวันละครับ ^^
ใน instagram ของ phantastic420
เขาก็คอยตามถ่ายฟูจิซังทุกวัน )

ขณะที่ผมยืนรอรถบัส
ก็เห็นบางกลุ่มที่กำลังจะไปปีนภูเขาไฟฟูจิ
ช่วงเดือนกรกฏา-สิงหา เป็นฤดูกาลปีนเขาพอดี

บางคนอยากไปสัมผัสใกล้ๆ
แต่ผมแค่มองไกลๆก็พอ
  
..พอดีไม่ได้เตรียมตัว เตรียมตังค์มาอ่านะ..55

ไม่เป็นไรวันนี้ผมจะพาไปชม ฟูจิซังที่ทะเลสาปยามานากะ  (yamanaka lake)














                                               

นั่งรถบัสมาลงยังป้าย Asahigaoka
เดินทะลุมาหน่อย ก็จะเจอกับวิวนี้เลย















                                               

มันช่างสวยอย่างที่เขาร่ำลือกันจริงๆ















                                               

ใครก็ได้เอาเมฆออกไปที่สิ - -*














                                               

 ตกปลาไป ชมฟูจิซังไป ชิวน่าดู















                                               

ขอลองขาวดำมั่ง















                                               

ระหว่างที่ถ่ายรูปจนอื่มใจ คราวนี้ก็ต้องเดินกลับไปยังย่านชุมชน
แดดตอนบ่าย มันช่างร้อนเสียนี้
ผมกับน้องเลยจะลองโบกรถคนญี่ปุ่นดู
เห็นในหนังสือเขาโบกได้
.
.
.
.
ผ่านไปเป็นสิบคัน ก็ยังไม่จอด
เลยตัดสินใจเดินกลับกันเอง

สามารถนั่งเรือน้องหงษ์ ชมวิวได้นะ














                                               

มิ้อนี้ฝากท้องเซเว่นเช่นเดิม
ขณะนั่งกินข้าวกล่อง ก็เหลือบไปเห็นคนกำลังเล่นฟลายบอร์ด (Fly board)
ว้าวโคตรเท่ คล้ายๆกับไอรอนแมนเลย






 
คลิปนี้เป็นคลิปโปรโมทเจ้าเครื่องฟลายบอร์ด 

 

เมื่อกินเสร็จจึงเดินเล่นสักพัก
ละตัดสินใจว่าจะลองไปเดินเล่นที่
ทะเลสาบคาวากุจิ ในตอนเย็นกัน

ระหว่างทางก็สะดุดตากับป้ายประจำทาง
ชื่อคุ้นๆ เหมือนเป็นแหล่งท่องเที่ยว
เลยขอลงก่อน

เลยเจอกับศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้เข้า
 "ศาลเจ้าฟูจิเซ็นเก็น"

ศาลเจ้าฟูจิเซ็นเก็น (fuji sengen shrine) เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น 
ตั้งอยู่ระหว่างทางทะเลสาบยามานากะและทะเลสาบคาวากุจิ
มีประวัติความเป็นมาอันยาวนานตั้งแต่สมัยจักรพรรดิเคโคะ สร้างขึ้นเมื่อปี 802
ต้นไม้ที่นี้มีขนาดสูงมากก เพราะอายุของมันนับร้อยๆ พันๆ ปี
(เพิ่งมารู้ที่หลังว่าสำคัญขนาดนี้ แหะๆ)

















                                              

ป้ายหน้าห้องน้ำ ยุคเอโดะ 55

















                                               

เหมือน entry นี้จะยาวเกินไปแล้ว
ขอลาไปก่อนด้วยภาพพระอาทิตย์ตกที่ทะเลสาบคาวากุจิครับผม














                                              

--------   TIPS  --------

- การเดินทางไปยังทะเลสาบยามานากะนั้นใช้บริการรถ
fujikyu bus ได้ฟรีเพราะรวมใน fuji hakone pass แล้ว

- นั่งรถบัสมาลงยังป้าย Hotel Mi.Fuji Iriguchi จะเห็นภูเขาได้ชัดกว่า
ลงที่ Asahigaoka ครับ

Tuesday, November 20, 2012

ตามล่าหาฟูจิซัง ตอนที่ 1 hakone

ในการเดินทางมาญี่ปุ่นครั้งนี้
สิ่งที่ผมอยากมาเห็นด้วยตาตัวเอง
นั่นก็คือ "ภูเขาไฟฟูจิ"
ภูเขาที่ถือว่าเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของประเทศญี่ปุ่น
และเป็นภูเขาที่สูงที่สุดในญี่ปุ่นด้วย
มีความสูงประมาณ 3776 เมตร วัดเส้นรอบวงได้
ยาวประมาณ 100 เมตร ตั้งอยู่บริเวณจังหวัดชิซึโอะกะ
และจังหวัดยะมะนะชิ

เช้าวันนี้ ผมกับน้องกำลังยืนรออยู่หน้าเคาร์เตอร์ เพื่อซื้อตั๋ว
Hakone-fuji pass ที่สถานีชินจูกุ
รอไม่นานนัก ประตูก็เปิดเลื่อนขึ้น
เราโชคดี ที่เจอพนักงานคนไทย
เลยง่ายต่อการสื่อสาร และสอบถามเส้นทาง

เราเลือกที่จะไปเที่ยวที่ ฮาโกเน่กันก่อน
ฮาโกเน่(Hakone) เป็นเมืองท่องเที่ยวโด่งดังที่ไม่ไกลจากโตเกียวมากนัก
และสามารถเห็นฟูจิซังได้ด้วย (ในวันฟ้าใสอ่านะ - -*)
เลยเป็นสถานที่ยอดนิยมของนักท่องเที่ยว
















                                                   

เรานั่งรถไฟจากสถานีชินจูกุจนถึงเมืองโอดาวาระ
จากสถานีโอดาวาระ เราสามารถนั่งรถไฟ หรือรถบัส
ไปเที่ยวที่ต่างๆในบริเวณฮาโกเน่ได้แล้วแต่เรา

ผมเลือกที่จะไปเที่ยวปราสาทโอดาวาระ
ก่อนอันดับแรก เพราะอยู่ไม่ไกลมากนักจากสถานี
สามารถเดินไปได้














                                                  

ผมใช้เวลาที่นี้ไม่มากนัก เพราะเคยไปเข้าชมปราสาทฮิเมจิที่โอซาก้ามาแล้ว
แต่ถ้าหากใครยังไม่เคยชมปราสาทญี่ปุ่นก็แนะนำให้เข้าไปดูครับ
แต่ที่ผมไม่เข้าไป เพราะมันจะคล้ายๆกัน เสียตังค์และ
ถ่ายรูปไม่ได้ด้วย แหะๆ
(ถ้ามาช่วงซากุระบาน ที่นี้จะสวยมากครับ ดูจากรูปของคนอื่นนะ)

หลังจากนั้นผมเดินกลับมายังสถานี
เพื่อนั่งรถบัสไปเที่ยวยังที่ต่อไป




รถบัสพาเรามาถึงท่าเรือฮาโกเน่มาจิ เพื่อขึ้นเรือชมทะเลสาบอาชิ
และภูเขาไฟฟูจิ














                                              

ระหว่างนั้นก็เดินหาของกินไปด้วย แต่ราคามันค่อนข้างแพงนัก
เราเลยฝากท้องกันที่ 7-eleven


เรือกำลังแล่นเข้ามาจอดข้างท่าเรือ ช้าๆ
รูปทรงของมันราวกับเรือในการ์ตูนวันพีช
ไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมลูฟี่ถึงอยากเป็นโจรสลัด 



ในแผ่นพับเขาบอกว่า ทะเลสาบแห่งนี้เกิดขึ้นจากการระเบิดของภูเขาไฟฮาโกเน่ 
ในยุคก่อนประวัติศาตร์ มีความยาวประมาณ 19 กิโลเมตร 
ในวันที่อากาศปลอดโปร่ง เราสามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิได้อีกด้านหนึ่งของทะเลสาบ

แต่วันนี้มันไม่ใช่วันที่อากาศปลอดโปร่ง 
มันเป็นวันที่เมฆเทาๆปกคลุมทั่วท้องฟ้า
ผมคงไม่ได้เห็นฟูจิซังง่ายๆแน่ๆ














                                               
                                             
หลังจากถึงฝั่ง เราเลือกที่จะนั่งกระเช้าต่อไปยังหุบเขาโอวาคุดานิ

















 





หุบเขาโอวาคุดานิ (owakudani) เป็นภูเขาไฟที่ยังไม่มอดสนิด 
ที่มีบ่อน้ำแร่กำมะถันที่เข้มข้น จนเมื่อนำไขjไก่ไปต้ม
แล้วเปลือกของไข่จะกลายเป็นสีดำ
และมีความเชื่อกันอีกว่าถ้ารับประทานไข่ดำ 1 ฟอง 
จะทำให้อายุยืนขึ้น อีก 7 ปี 
ทำให้นักท่องเที่ยวหลั่งไหลมาเที่ยวที่นี้เพื่อชิม "ไข่ดำ"
















                                                  

1 ถุงจะมีไข่อยู่ 6 ฟอง ราคา 500 เยน
ผมซัดไปเกือบ 4 ฟอง ตอนนี้ผมคงมีอายุยืนขึ้นอีก 28 ปีแล้วละ 55



ระหว่างที่ผมกำลังเดินกลับไปขึ้นกระเช้า
เมฆเทาๆค่อยๆจางหาย 
สิ่งที่ผมตามปรากฏอยู่เบื้องหน้า
นั้น นั้น ภูเขาไฟฟูจิ!!!!



























                                               

ผมดูภาพภูเขาที่อยู่ตรงหน้าเปรียบเทียบกับรูปถ่าย
ถ้าเรามาช่วงฤดูหนาว
เราคงเห็นหิมะปกคลุมฟูจิซังอยู่ด้านบน
เราคงพบกันเร็วเกินไป

หลังจากนี้ผมก็นั่งกระเช้า ต่อรถราง
เพื่อไปยังสถานีโกระ

















                                               

จากสถานีโกระตอนแรกผมวางแผนกับน้องจะไปยัง
Gotemba outlet แต่ถามคนขับแล้วเขาบอกว่าเวลาไม่น่าจะพอ
ผมเลยเปลี่ยนแผนเพื่อไปสถานีโกเทมบะเลย

จากสถานีโกเทมบะ ต้องนั่งรถต่อเพื่อไปยัง
สถานีคาวากูจิโกะ เพื่อเข้าที่พักที่ได้จองไว้





















                                                                         

วันนี้เป็นการเดินทางที่ยาวนาน
และเหนื่อยมากเพราะต้องนั่งรถหลายต่อ

แต่วิวระหว่างที่นั่งรถผ่านก็ทำให้ ผมหายเหนื่อยได้เหมือนกัน



















--------   TIPS  --------

- บัตร Hakone-Fuji Pass ราคา 7200 เยน
ใช้ได้ 3 วัน ซื้อ pass ได้ที่ Odakyu sightseeing service center
สถานีชินจูกุ ฝั่งประตูออกทางด้าน west











                                    


                                                                              
- หากไปช่วงหน้าเทศกาลควรจองตั๋วล่วงหน้า
- ใช้บัตร pass นี้เป็นส่วนลดเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวได้ด้วย
- หากคนที่จะไป Hakone อย่างเดียวก็มี pass เฉพาะ
5000 เยน สำหรับ 2 วัน
- การเที่ยวแต่ละที่ที่ฮาโกเน่ ต้องวางแผนเวลาให้ดีๆ
และเช็คเวลารถรอบสุดท้ายด้วยว่าออกกี่โมง