Showing posts with label writing. Show all posts
Showing posts with label writing. Show all posts

Friday, January 18, 2013

ระหว่างทางไป wwoof

31 ส.ค. 2555  20:00 น.  ณ shinjuku willer express bus





















                                                                

ผมกำลังนั่งใจจดใจจอ รอขึ้นรถบัส เพื่อเดินทางไปยังจังหวัดฮิโรชิม่า
อีกประมาณ 10 นาทีเขาคงจะเรียกผม ให้ไปเข้าแถว
แต่ผมคงฟังไม่ออกหรอก
อาศัยเดินตามๆเขาไป...

ผ่านมาอาทิตย์นึงแล้วสินะ
ที่ผมได้มาอยู่ที่ญี่ปุ่น
เมืองที่ผมใฝ่ฝันว่าอยากจะมาเยือนอีกสักครั้ง
ครั้งนี้ต้องขอบคุณน้องสาวผมมาก
ที่พาผมไปนู้นไปนี้
แถมเลี้ยงข้าวผมอีกต่างหาก
แต่นับจากนี้ ผมคงต้องเดินทางคนเดียวแล้ว
(จ่ายตังค์เองอีกต่างหาก TT TT" )

ผมรู้สึกหวั่นๆกับการไป wwoof ยังไงก็ไม่รู้
อาจจะเพราะผมต้องเดินทางคนเดียว
ในประเทศที่ผมไม่เข้าใจภาษา

มีคนแนะนำให้ผมใช้วุ้นแปลภาษาของโดเรมอน
เผื่อจะช่วยให้คุยกับคนญี่ปุ่นรู้เรื่องได้บ้าง


10 นาทีผ่านไป ผมค่อยๆ เดินตามเขาขึ้นไปบนรถ
รถบัส บ้านเขาก็ไม่ต่างจากบ้านเราเท่าไร
แต่ที่นี้ถ้าเป็นรถที่วิ่งกลางคืนจะมีม่านสีดำ
ปิดทั้งคันรถ เพื่อไม่ให้แสงข้างนอกรอดเข้ามา

เดินมายังไม่ทันจะหย่อนตูดถึงเบาะ คนข้างๆที่นั่งผมก็ทักทาย
ถามว่ามาจากไหน
 " Thailand "
ผมตอบไปด้วยความภาคภูมิใจในความเป็นไทย

" สวัสดีครับ มาเที่ยวญี่ปุ่นหรอครับ "
เฮ้ย เขาพูดไทยได้
ผมคิดในใจสงสัยจะกินวุ้นแปลภาษามาแน่ๆ

แต่คุยไปคุยมา เขาพูดไทยได้คล่องมากๆ
เขาบอกว่า เขาไปเมืองไทยบ่อย ปีละ 3-4 ครั้ง
เกือบ 10 ปีแล้ว โอ้วว
ผมรู้สึกอุ่นใจทันที ที่มีคนเข้าใจภาษาไทย

จากโตเกียว ถึงฮิโรชิม่า
ระยะทางพอๆกับ นั่งรถจากกรุงเทพ ไป ภูเก็ต

รถถึงสถานีฮิโรชิม่า 7.30น. เป๊ะๆ
ญี่ปุ่นนี้เขาตรงเวลาจริงๆ

การเดินทางเกือบ 10 ชม.ของผมยังไม่จบ
มันต้องนั่งรถบัสไปอีกชั่วโมง และนั่งเรือข้ามฝากต่อไปอีก
เลือกโฮสต์ซะไกล ก็ต้องไปให้ถึงละ

เมื่อลงจากรถ หรือไปยังที่ใหม่ๆ
คำที่ผมมักอุทานในใจ คือ
" กุจะไปทางไหนต่อดีวะ "
เพราะไม่รู้จะเดินต่อไปทางไหนจริงๆ
รู้สึกสับสน วุ่นวายแล้วตื้นเต้นไปหมด

แต่เมื่อรวบรวมสติได้ ป้ายกับแผนที่เป็นสิ่งสำคัญที่สุด

(ควรจะศึกษาเส้นทางดีๆ ว่าควรเดินไปทางไหน
และรถที่จะขึ้นจอดอยู่ป้ายไหน)


ผมใช้เวลาไม่นานนักก็เจอป้าย ตามที่จดไว้
เผื่อความแน่ใจ ผมก็เลยถามลุงกับป้าที่นั่งอยู่
ป้าพอพูดภาษาอังกฤษได้ เลยบอกผมว่า
เขาไปทางเดียวกัน แต่เขาจะลงก่อน
ผมต้องไปต่อ แค่นี้ผมก็ใจชื่นแล้ว





















                                               

นั่งไปสักพัก ป้าก็ยื่นกล่องข้าวมาให้
ในนั้นมี ข้าวปั้น 1 ก้อน ไข่ต้มครึ่งฟอง
บ๊วยดอง และขิงดอง

ไอ้ 2 อย่างแรกนั้นโอเคอยู่ แต่ 2 อย่างหลังนี่
ปกติผมจะไม่แตะมันด้วยซ้ำ
แต่ผมก็กินหมดด้วยความซาบซึ้งในน้ำใจ

ผมรู้สึกว่า ' มันอร่อยกว่าปกติ '

เมื่อถึงสถานีที่ลุงกับป้าต้องลง
เราโบกมือลา ผมโค้งคำนับ

รถบัสยังคงวิ่งต่อไป..

ไม่นานนักก็ถึงท่าเรือ
ผมรีบซื้อตั๋วแล้ววิ่งขึ้นเรือทันที



































                                

ไม่รู้ว่าถึงฝั่งแล้วผมจะต้องเจอกับสถานการณ์แบบไหน
โฮสต์จะเป็นยังไง ผมจะได้ทำงานแบบไหน
แต่ผมเชื่อว่า 'ความสนุก' รอผมอยู่





















--------   TIPS  --------

- ผมเลือกใช้บริการของ willer bus เพราะมันถูกกว่านั่งรถไฟ ลองเข้าไปหาข้อมูลได้ที่
http://willerexpress.com/st/3/en/pc/buspass/index.php

- จะมีราคาบัตรเหมา 3 วัน 10000 yen แนะนำให้วางแผนการเดินทางไปพร้อมกับการเลือกโฮสต์

- หากต้องการมายังเกาะ oosakikamijima หรือโฮสต์เดียวกับผม จากสถานีฮิโรชิม่า
ให้นั่งรถบัสชื่อ kaguya himego ที่ ชานชาลา C หมายเลข 12 มาลงยัง takehara port



ขอให้สนุกกับการเดินทางครับ






























Monday, January 7, 2013

กลับมาสู่โลกใบเดิม

"กลับมาสู่โลกใบเดิม"

ผมได้กลับมาสู่(ทาง)โลกอีกครั้ง
ฟังดูอาจเหมือนว่า
ผมนั่งยานอวกาศออกไปนอกโลกมา
แต่ทว่า เป็นทางธรรมมาสู่ทางโลกนั้นเอง

1 เดือนที่ผ่านมา
ผมไปอาศัยอยู่ใต้ชายผ้ากาสาวพัสตร์
ไปเป็นผู้ออกบวชจากเรือน
เพื่อทดแทนคุณบิดามารดา
เพื่อเรียนรู้ธรรมะ
และไปเรียนรู้ชีวิตของพระ
ว่าเขากิน อยู่ หลับ นอน กันยังไง
และทำอย่างไร ทำไมการเป็นพระ
ถึงเป็นวิถีที่จะหลุดพ้นจากกิเลส
ได้ดีที่สุด

1 เดือนนี้บางคนอาจจะคิดว่ามาก
บางคนอาจจะคิดว่าน้อยสำหรับการเป็นพระ
แต่ 1 เดือนนี้ มันก็ทำให้ผมหันมาสนใจพระพุทธศาสนา
ได้มากขึ้นเหมือนกัน

บวชวันแรก
ผมรู้สึกตื่นเต้น เหมือนเข้าโรงเรียนใหม่
ต่างสถานที่ ต่างการใช้ชีวิต ต่างสังคม
ทำให้ผมต้องเรียนรู้อะไรใหม่หมด
เริ่มตั้งแต่การนุ่งสบง และห่มจีวร

มันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด
ใส่สบงวันแรก
ก็รู้กันอยู่ว่าพระ เขาห้ามใส่กางเกงใน
ผมก็เกรงว่า ผ้ามันจะหลุด
กลัวน้องชายจะออกมาทักทายโลกภายนอก
เลยต้องใส่ ผูกให้แน่นจนพุงปลิ้นเลย

ที่ยากกว่านั้นคือจีวร ผ้าผืนใหญ่เอามาห่มกาย
ม้วนมันเข้าไปจนเมื่อยมือ
ใช้เวลาเป็นอาทิตย์กว่าจะใส่คล่อง

ถ้าไม่นับความลำบากในการใส่แล้ว
ผมชอบที่มันแห้งเร็วมากก
ตากแปปเดียวก็แห้งแล้ว

พระไม่ต้องซื้อของมาฉัน
ไม่ต้องลงมือทำกับข้าวเอง
แต่ต้องเดินบิณฑบาตร
  
นี่ละสิ่งที่ฝึกสติและดูอารมณ์ของเรา ได้เป็นอย่างดี
เวลาบิณฑบาตรนั้น พระเขาห้ามสวมรองเท้า
เลยมีโอกาสเหยียบหิน เหยียบตะปู รวมถึงขี้หมาได้
ถ้าเราไม่ระวัง ไม่มีสติ เราจึงต้องคอยก้มมองต่ำ
จับจ้องทุกย่างก้าว ว่าพื้นนั้นมีอะไรมั้ย จะเหยียบโดนอะไรรึป่าว

ข้อห้ามหลายอย่างของพระ
ที่พระใหม่ๆคอยทำผิดบ่อยๆ
ก็คือ

พระห้ามยืนฉันน้ำ
ลืมตัวกันประจำเลยข้อนี้ ผมว่าก็ดีนะมันเลยเป็นการฝึกสติเรา
ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่

อีกอย่างก็คือ พระห้ามยืนฉี่
ปกติผู้ชายเราก็ยืนฉี่กันประจำ ต้องนั่งลงฉี่เหมือนผู้หญิงแรกๆก็ไม่ชินเหมือนกัน

พระฉันแล้ว จะลุกไปไหนไม่ได้ ถ้าลุกก็ห้ามกลับมาฉันอีก

ผู้หญิงประเคนของห้ามรับจากมือ ต้องหาอะไรมารองรับ

มีอีกหลายกฏ หลายข้อห้ามที่ผมได้เรียนรู้
ว่าการเป็นพระ มันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด

มีอย่างนึงที่ผมรู้สึกตอนเป็นพระ ก็คือ
เออ สบายดีนะ ชีวิตที่อยู่กับปัจจุบัน
ไม่ต้องคิดถึงอดีต ไม่ต้องกังวลกับอนาคต
ดีซะจริงๆ

ตอนนี้ออกมาจากชีวิตแบบนั้นแล้ว
ผมก็ยังไม่แน่ใจกับอนาคตของผมอยู่เหมือนเคย
แต่ต่อจากนี้ผมจะพยายามเป็นคนที่มีสติในทุกการกระทำ
เรียนรู้อารมณ์ และระงับความรู้สึกที่บั่นทอนเราให้ได้
.
.
.
.
.

ไว้ผมจะกลับมาเล่า สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากการเป็นพระอีก

และจะถยอยเล่าเรื่องที่ผมไป wwoof ที่ญี่ปุ่นมา ให้จบ

(หวังว่าจะคอยตามอ่านกันนะครับ :P )





Monday, August 20, 2012

ทุกๆ 7 ปี ชีวิต มักมีการเปลี่ยนแปลง


ทุกๆ 7 ปี ชีวิต มักมีการเปลี่ยนแปลง

7 ปีที่แล้วผมเคยไปเที่ยวญี่ปุ่นกับครอบครัว
7 ปีที่แล้ว ผมบอกกับตัวเองว่า ผมต้องกลับไปเที่ยวอีกครั้งให้ได้
7 ปีต่อมา ผมกำลังจะไปญี่ปุ่นอีกครั้ง
คราวนี้ผมต้องเดินทางไปคนเดียว
เพื่อไปเที่ยวกับน้อง
เพื่อไปหาประสบการณ์กับการเป็น wwoofer
ไปใช้ชีวิตกับคนแปลกหน้า


เรื่องราวจะเป็นยังไง ติดตามใน ชั่ว 7 ปี ไม่ดีสักหน  ( 555 ไม่เกี่ยวๆ )

.
.
.
.

อีก 2 วัน ผมก็จะเดินทางไปญี่ปุ่นแล้วครับ
ตามแผนการที่กำหนดไว้นั้น

22 - 31 ส.ค. 55
จะเที่ยวโตเกี่ยวกับน้อง

ตลอดเดือนกันยานั้นจะไป wwoof 

1- 9 ก.ย. 55
นั่งรถบัสไป wwoof ที่ร้าน cafe บนเกาะเล็กๆ ที่ฮิโรชิม่า

10 - 19 ก.ย. 55
ไปเก็บใบชาที่เกียวโต
( ไม่รู้จะได้ไปเก็บใบชารึป่าว เพราะ host ยังไม่บอกเรื่องที่อยู่มาเลย )

20-30 ก.ย. 55
ไปเก็บผลไม้ที่นากาโนะ

1-10 ต.ค. 55
จะนั่งรถบัสตะลุยทั่วญี่ปุ่นกับน้อง

52 วันกับการอยู่ในประเทศญี่ปุ่น
หวังว่าคงได้รับประสบการณ์ไม่มากก็น้อยจากการเดินทางครั้งนี้
พูดญี่ปุ่นก็ไม่เป็น
อังกฤษก็ไม่คล่อง
คงต้องอาศัยความมั่ว
กับใจที่อยากไปเพียงอย่างเดียว


ผมจะเก็บภาพ และเรื่องราว มาฝากให้มากที่สุดนะครับ เจอกันอีกทีเดือนตุลาคมครับ









Thursday, August 16, 2012

เลือก Host กันเถอะ



<< รู้จัก wwoof กันก่อน >>
<< เริ่มต้นสมัคร wwoof >>

เมื่อเราตัดสินใจได้แล้วว่าเราจะไปเมืองอะไร
ขั้นตอนต่อไปก็คือการเลือก Host

 



Hostcode
จะบอกรหัสของ host และ status ของHost ว่าเปิดรับ wwoofer หรือไม่

We are accepting WWOOFers  

- ตอนนี้เขากำลังเปิดรับอยู่
 
We are in urgent need of WWOOFers!  

- ตอนนี้เขากำลังต้องการ wwoofer มาช่วยงานอย่างเร่งด่วน
 
Not seeking WWOOFers at this time--please check back
- ยังไม่เปิดรับตอนนี้ ให้กลับมาเช็คดูอีกที

City 

บอกที่อยู่ของ Host ว่าอยู่เมืองไหน (แนะนำว่า search google map
ดูด้วยว่าอยู่ตรงไหน บางทีก็ห่างไกลเมืองมากกก )


When WWOOFers are accepted 

จะบอกช่วงเวลาที่ Host เปิดรับ

Type of Host จะบอกว่าเขาทำอะไรบ้าง

 
(แนะนำว่าเลือกที่ๆเราอยากไปทำ บางที่ปลูกข้าว เก็บผัก ร้านอาหาร
หรือเลี้ยงสัตว์ ลองเลือกดู)


มุมด้านบน ลองคลิ๊ก search users ดูครับ
มันจะเป็น filter ให้เราเลือก Host ได้ตรงกับที่เราต้องการมากขึ้น
เช่น หาโฮสที่ไม่สูบบุหรี่ หรือกินแต่อาหารเจ

สำหรับคนที่กำลังมองหา Host ที่พูดภาษาอังกฤษได้ ให้เลือกที่
Are WWOOFers expected to understand Japanese:
- เลือก include any of
- เลือก 2-3 อันล่างเพื่อหา Host ที่พูดภาษาอังกฤษได้

( คนที่พูดภาษาญี่ปุ่นได้จะได้เปรียบมากกว่าคนที่พูดไม่ได้ตรงที่ มี Host
ให้เลือกเยอะกว่า
คนที่พูดไม่ได้ก็อย่าเพิ่งน้อยใจไปนะครับ ยังมีให้เลือกอยู่เหมือนกัน )





เมื่อ click เข้ามาแล้วราจะเห็นหน้าตา Host
Tap แรกจะบอกสถานะว่าเปิดรับหรือไม่ และมีรายละเอียดเล็กน้อย เกี่ยวกับงานที่ทำ
หรือต้องการคนที่อยู่นานเท่าไร ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละโฮส


-Tap Profile-
บอกรายละเอียดต่างๆ ที่อยู่ของโฮสต์ งานที่ทำ อาหารที่รับประทาน มังสวิรัติหรือไม่
ข้อมูลเกี่ยวกับ wwoofer ว่าสามารถรองรับได้กี่คน ใช้อินเตอร์เน็ตได้มั้ย

-Tap Member-
บอกถึงสมาชิกในบ้านของ Host ว่ามีสมาชิกกี่คน อายุเท่าไร และเคยทำอะไรมาบ้าง
และที่สำคัญเขาจะเขียนมาว่าเราควรเตรียมอะไรไปบ้าง


-Tap Rating-

บอกถึงผลโหวตที่เหล่า wwoofer ลงคะแนนให้ คลิ๊กเข้าไปตรงรูปมือ จะมีความคิดเห็น
โผล่ขึ้นมา
เหล่าสามารถตัดสินใจได้ระดับนึงว่า host ที่เราจะไปอยู่นั้นเป็นอย่างไร

-Tap Gallery-
จะเป็นรูปภาพภายในฟาร์ม กิจกรรมต่างๆ (บาง host ก็ไม่มี)

เมื่อ เราตัดสินใจได้แล้ว ว่าจะเลือก host นี้ให้พิมพ์ message ไปหาเขา
ช่องนี้จะเป็นช่องทางการพูดคุยระหว่างเรากับ host หรือถ้ามีคำถามก็พิมพ์ไปถามก่อนได้


จากที่ผมพิมพ์ไปหาหลายๆคน host ใช้เวลาในการตอบค่อนข้างนาน
ระหว่างนั้นก็วางแผนเที่ยวไปก่อนครับ
ถ้าผ่านไปสักอาทิตย์ยังไม่ติดต่อมาก็ลองหาที่ใหม่


** ผมมีเทคนิคที่จะแนะนำว่า
นั่ง list รหัส host ไว้เลยว่าเราต้องการไปที่ไหนบ้าง อันดับ 1 2 3
และมีสำรองเอาไว้เผื่อ
เขาปฏิเสธหรือไม่ติดต่อมา จะได้ไม่ต้องไล่หาใหม่

** อย่าลืมนึกถึงเรื่องการเดินทางด้วยนะครับ อย่าเลือกแต่ละที่ให้ไกลกันมาก 

เราอาจจะเสียค่าใช้จ่ายไปกับการเดินทางเยอะ

เมื่อได้รับการยืนยันจาก โฮสต์เรียบร้อยแล้วว่ารับเรา ก็คลิ๊กที่ request contact information

เมื่อคลิ๊กแล้วต้องรอให้ host ปลดล๊อก เมื่อเขาปลดล๊อกจะมีเมลล์ส่งมา แล้วเราจะสามารเข้าไปดูรายละเอียดตรง Tap Contact Detail ได้

ตรงส่วนนี้จะมีรายละเอียดเกี่ยวกับที่อยู่ เบอร์โทร การเดินทางไปหาโฮสต์
ซึ่งค่อนข้างสำคัญมาก

เมื่อได้ Host เรียบร้อยแล้วหลังจากนี้ก็... ลุยโลด !!

Thursday, August 2, 2012

Let's Wwoof in Japan

ผมกำลังจะไป WWOOF คร้าบบบ !!


หลายคนสงสัยว่า ไอ้ wwoof นี่มันคืออะไรวะ
วันนี้ผมเลยอยากแบ่งปันประสบการณ์ในการสมัครสมาชิก
เป็น wwoofer มาแบ่งปันกันครับ

เรามาเริ่มรู้จัก Wwoof กันก่อนดีกว่า
 
 
WWOOF หรือ เต็มๆว่า World Wide Opportunites on Organic Farms
เริ่มต้นขึ้นที่ประเทศอังกฤษเมื่อปี ค.ศ.1971 เมื่อ Sue Coppard เกิดไอเดียที่จะเชิญชวน
เหล่าอาสาสมัครผู้เบื่อหน่ายชีวิตในเมือง ลองมาใช้ชีวิตในชนบทดูบ้าง โดยมาลองทำงาน
ในฟาร์มออร์แกนิคช่วงสุดสัปดาห์  ปรากฏว่า ผลตอบรับค่อนข้างดีทำให้กิจกรรมนี้แพร่ขยาย
ไปอีกหลายประเทศทั่วโลก และเรียกกลุ่มคนเหล่านั้นว่า “ Wwoofer ”
การไป wwoof นั้นเราจะไม่ได้รับค่าจ้างเป็นตัวเงิน แต่จะทำงานเพื่อแลกกับอาหาร
และที่พักฟรีโดยทำงานวันละ 6 ชั่วโมงหรือแล้วแต่ตามตกลงระหว่างเรากับเจ้าของบ้าน (Host)
การได้เข้าไปทำงานในฟาร์มไม่เพียงแค่ได้ประสบการณ์ใหม่ๆ
แต่ยังได้แลกเปลี่ยนความเรียนรู้ แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและก่อเกิดมิตรภาพ อีกด้วย


ปัจจุบันนี้ประเทศไทยเองก็มี wwoof แล้วด้วยนะ ลองคลิ๊กเข้าไปที่ 



ทำไมผมถึงอยากจะไป wwoof ?

          ผมรู้จักโครงการนี้จากหนังสือของเพื่อนที่ทำงานของผม  เปิดอ่านผ่านๆ รู้แค่เพียงว่า

เราไปทำงานในฟาร์มในต่างประเทศ แลกกับการกินอยู่ฟรี ผมคิดว่า เฮ้ยโครงการนี้แม่งดีวะ 
คงประหยัดค่ากินค่าที่พักไปได้เยอะ  ถ้ามีเวลาก็น่าไป แต่ตอนนั้นผมเพิ่งเป็นเด็กหนุ่มเพิ่งเริ่ม
เข้าทำงาน  ทำให้ผมหยุดความคิดนี้ไปในทันที


ผ่านไปเกือบ 3 ปี...

ในขณะที่ผมกำลังนั่งทำงานอยู่ ในหัวผมมันก็คอยแต่คิดอยากจะไปเที่ยว 

อยากทำอะไรใหม่ ไปเจออะไรใหม่ๆ
อาจจะเพราะด้วยงานของผม ทำให้ผมอยู่แต่หน้าคอมทั้งวัน

เคยนั่งๆทำงานอยู่แล้วรู้สึกเบื่อมั้ยครับ?  มองไปทางไหนก็เจอแต่กำแพงคอนกรีต
 

ตื่นเช้าขึ้นมา
แปรงฟัน 
อาบน้ำ 
ออกจากบ้าน
นั่งรถไปทำงาน 
ทำ
ทำ
ทำ 
นั่งรถกลับบ้าน 
เปิดคอม เล่นfb อ่านเวบ อ่านหนังสือ
อาบน้ำ  
นอน
(อ่านใหม่อีกรอบ)
 
ผม รู้สึกอึดอัดกับการดำเนินชีวิตที่วนลูป หรือเป็นวัฐจักรแบบนี้ทุกวัน

หลายๆหนังสือที่ผมอ่านในขณะนั้น  ได้พยายามบอกกับผมว่า 
“ลองถามใจตัวเองดูสิ ว่าสิ่งที่คุณทำในปัจจุบันนี้ คือสิ่งที่คุณต้องการจริงๆนะหรือ”
ผมลองถามใจตัวเองดู....คำตอบที่ได้คือ ไม่ใช่


ความสุขของผมที่มีหายไปกับการทำงาน 

ผมไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร
เพราะไม่ชอบ 
เพราะไม่ใช่
เพราะกดดัน หรืออะไรก็ตาม..
ทำให้ผมอยากจะหนีจากมัน
แม้ผมจะลองอดทนทำดู สู้มันไปตั้งหลายครั้ง
แต่ก็ทำอะไรกับความรู้สึกเบื่อหน่ายนี้ไม่ได้สักที
อาจจะเพราะมันเกิดที่ใจของผมเอง


ผมเลยมีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง เปลี่ยนสถานะที่เป็นอยู่ในตอนนี้

ผมจะออก ผมจะไปเที่ยว และผมจะไปญี่ปุ่น

คำ ว่า wwoof เข้ามาในหัวผมอีกครั้ง ผมนั่งหาข้อมูล ประสบการณ์ของคนที่เคยไป 

และตามหาหนังสือ “ปฏิบัติการบุกญี่ปุ่น” ของพี่ดนัย 
หนังสือที่ผมเคยเปิดอ่านผ่านๆสมัยที่ผมเริ่มทำงาน
มันทำให้ความอยากไปของผมเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว 

ผมตัดสินใจแล้ว ผมจะไป wwoof
ผมจะลองไปใช้ชีวิตกับคนแปลกหน้า แปลกภาษา
ไปทำฟาร์ม  ไปเป็นพี่อาทิจในแดนอุทัย :P


(พี่อาทิจที่หมายถึงคือ ณเดช ที่เล่นในเรื่อง ธรณีนี่นี้ใครครอง)



“เฮ้ยแต่เราพูดภาษาญี่ปุ่นก็ไม่ได้ ภาษาอังกฤษก็ไม่คล่องแล้วจะไปได้หรอวะ”

“เอาน่าา ลองไปดู” ผมย้ำกับตัวเองอีกครั้ง

(เพี้ยนจนคุยกับตัวเองได้แล้ว)

   

(แต่ ถ้าใครอยากจะไปเพราะอยากไปเรียนรู้การทำฟาร์มและเปลียนวัฒนธรรม หาประสบการณ์ใหม่ๆ ก็ลองไปดูก็ได้นะครับ ไม่จำเป็นต้องไปเพราะเบื่อชีวิตแบบผม :) 



 


ลองถามตัวคุณดูนะ ว่า ณ ขณะนี้คุณมีความสุขกับชีวิตอยู่รึเปล่า?

ถ้าคำตอบคือ ไม่...คงต้องทำอะไรสักอย่างกับชีวิตแล้วละ

<< เริ่มต้นสมัคร wwoof >>



Thursday, February 9, 2012

Enjoy the journey BKK - CAM - VN (BKK-Siem Reap)

การเดินทางครั้งนี้ เป็นการเที่ยวที่นานที่สุดของผม ใช้เวลา 11 คืน 12 วัน
ผมวางแผนไว้ว่าจะแวะเที่ยวนครวัด-นครธมที่เขมรก่อนแล้วค่อยเข้าเวียดนาม
ทำให้การเที่ยวครั้งนี้ค่อนข้างนานนิดนึง

กับการจากบ้านไปไกล ทำให้คิดอยู่นานว่าจะเอาเสื้อไปเท่าไร กางเกงในกี่ตัว :P
สรุปก็เท่าที่เห็นดังภาพละครับ


Add caption

ออกเดินทางกันเลย....


24 ธ.ค.2554

พวกเราตื่นกันแต่เช้ามืดที่บ้านโจ้ มาอาศัยบ้านมันนอนก่อน ก็เพราะว่ากลัวไม่ตื่นกัน

ตี 5.45 เป็นเวลาที่เรานัดรถบ่อนไว้ว่าจะไปขึ้นที่ฝั่งตรงข้ามกับตึกอื้อจื้อเหลียง
เขาจะจอดที่ป้ายรถเมล์พอดี

รถบ่อน คือรถบัสที่พาเหล่านักเสี่ยงโชค ข้ามแดนไปยังฝั่งเขมร เพื่อไปเล่นคาสิโน
ราคา 200 บาทไป-กลับ เราสามารถโทรจองรถไว้ก่อน หรือจะไปขึ้นเลยก็ได้

หาข้อมูลเพิ่มได้จากเวบ  arantoday

หลับๆตื่นๆ ไม่ทันไรรถบ่อนก็พาเรามายังแถวหน้าด่านแล้ว เราก็เดินมึนๆตามกลุ่มลุงๆป้าๆ ไป
พวกเขาจะเดินเร็วมาก ราวกับว่า ถ้าไปช้าแล้วกูจะไม่ได้เล่นยังไงยังงั้น
ถ้าตามไม่ทันก็เดิน ชิดซ้ายไปเรื่อยๆ ก็จะถึงด่านตม.ไทยเพื่อเช็คหนังสือเดินทางก่อน
(รับใบเข้าออกประเทศที่หน้าด่านได้เลย)

เพียงไม่กี่นาทีเราก็เดินออกมายังฝั่งเขมร แล้ว



พอเดินข้ามสะพานมาก็จะเจอคาสิโนเยอะแยะมากมาย ระหว่างที่พวกเราเดินอยู่นั่นก็มีคนเขมร
เข้ามาทักว่าจะไปไหน นครวัดหรอ เขาคงรู้ว่าเราเดินงงๆกันอยู่ เลยบอกให้เราเดินขวาไปเรื่อยๆ
จะเจอกับด่านตม. เจ้าหน้าที่ก็จะยื่นใบมาให้กรอก




เมื่อยื่นใบเข้าเมือง ปั้มลายมือเรียบร้อบแล้ว ก็เดินต่อมันยังวงเวียน หนุ่มเขมรผู้นั้น
ก็ยังคงตามเรามาอยู่  เขาบอกให้รอรถบัสฟรี เพื่อไปนั่งยังขนส่ง
ผมก็อ้าว แล้ว taxi ที่อยู่แถววงเวียน ที่ผมเคยอ่านใน review มันหายไปไหนซะแล้ว
เขาบอกไม่มีแท็กซี่ตรงนี้แล้วละ เพราะตำรวจจับ มีที่ขนส่งเท่านั้น

ในใจมันก็ไม่อยากเชื่อเลยแหะ กุจะโดนหลอกป่าวเนี่ย แต่ถ้ามีแท็กซี่ ระหว่างทาง
ก็ต้องมีคนมาทักเพื่อชวนไปขึ้นแท็กซีแล้วสิ ผมกับเพื่อนเลยตกลงเชื่อหนุ่มเขมรคนนั้น
แล้วขึ้นรถฟรีไปยังขนส่ง....



เมื่อมาถึงยังขนส่ง ก็ถึงกับอึ้งว่าจะเอาไงดี เพราะราคา Taxi นั้นแพงกว่าที่ในเวบ
ที่นี้ 48 USD แต่ในรีวิว น่าจะประมาณ 40 USD อืม...มาถึงนี้แล้ว ไม่มีทางเลือก เลยเสียกันไป
คนละ 12 USD เป็นค่าแท็กซี่  โดยที่ต่อราคาไม่ได้

ที่นี้ก็มีรถบัสให้ขึ้นแต่จะใช้เวลาเดินทางนาน และต้องรอคนด้วยเลยเลือกใช้แท็กซี่ดีกว่า



ราคาตั๋ว

เมื่อซื้อตั๋วแท็กซี่เสร็จ เราก็แลกเงินกัน ราคาแลกเงินที่นี้ไม่ค่อยดี 1 USD = 3800 เรียวเอง
ผมแนะนำว่าให้ไปแลกในเมืองจะดีกว่า  ที่เขมรนี้ค่าเงินจะใช้ได้ทั้ง USD และเงินเรียว

หน้าตา taxi พาเราไปยังเสียมเรียบ

ก่อนขึ้นรถแท็กซี่พ่อหนุ่มเขมรที่แนะนำเรามาตลอดทาง ก็ขอ 'ค่าน้ำใจ' พี่กั๊กยื่นไป 2000 เรียว
เพื่อนๆโหกันใหญ่ "ได้เยอะจังเลยตั้ง 2000 เรียว" เออคือ ตอนนั้นยังงงๆกับค่าเงินกันอยู่
2000 เรียว = 15 บาท

พวกเรานั่งรถกันมาประมาณ 2 ชม.ครึ่งก็ถึงที่พัก Shadow of angkor I
ซึ่งเราได้จองกันไว้ก่อนหน้าเดินทางมา เพราะเกรงว่าช่วงปีใหม่คนจะเยอะ
ที่พักนั้นจะเป็นบ้านไม้มี 3 ชั้น มีwiด้านข้างมีเซเว่นเซ่นส์กับพิซซ่าคอมปานีขายอยู่ด้วย
หลังจากเก็บข้าวของ ล้างหน้าเรียบร้อยแล้วผมก็พยายามทำการติดต่อ คุณ socheat
(ถ้าแปลเป็นไทยจะดูไม่น่าไว้ใจมาก 55)


socheat เป็นคนเขมรที่ผมติดต่อผ่านทางเว็บ couchsurfing ก่อนเดินทางมา
เขาเป็นคนขับตุ๊กๆอยู่ที่นี้ และใช้ภาษาอังกฤษได้ดี
ตอนแรกผมลองใช้โทรศัพท์เพื่อนที่เปิดใช้บริการ โทรได้ 3 ประเทศ ลาว เขมร เวียดนาม
แต่ดันหาสัญญาณไม่เจอ ทำไงก็ไม่ได้เลยตัดสินใจลงมาข้างล่างเพื่อขอยืมโทรศัพท์
ที่เคาร์เตอร์ใช้  ระหว่างที่พวกผมกำลังใส่รองเท้ากันอยู่นั้น ก็มีคนข้ามถนนเดินตรงเข้ามา
ตอนแรกผมทำไม่สนใจ  แต่...เอ๊ะ หน้าคุ้นๆวะ  แล้วเรียกชื่อผม ละก็แนะนำตัว
อ้าวว เฮ้ย!! socheat นี่เอง เขาบอกว่าเขามารอได้สักพักแล้ว เพราะก่อนหน้าที่ผมคุยกับเขานั้น
ได้บอกชื่อที่พักไปว่าจะมาพักที่นี้ เขาเลยมาหรอ  กลายเป็นว่า โชคดีกันไป

เว็บ couchsurfing เป็นเวบที่เราสามารถหาคนพาเราเที่ยวได้ หรือหาที่พักฟรีๆก็ยังได้
ไว้คราวหน้าจะทำการรีวิวละกันครับ

หลังจากแนะนำตัวกันเสร็จ เขาก็อธิบายแผนการเที่ยวว่าจะไปไปไหนบ้าง
เขาจะพาเราไปโตนเลสาปก่อน และปิดท้ายด้วยร้านบุฟเฟ่ ที่มีโชว์รำนางอัปสรา
เราก็โอเค ตามนั้น แต่เนื่องจากเรายังไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เช้า เลยบอกให้เขาพาไป
กินร้านบ้านๆหน่อย เขาพาเราไปกินยังร้านก๋วยเตี๋ยวแห่งหนึ่ง ผมจำไม่ได้ว่าเขาเรียกว่าอะไร
หน้าตาก็ประมาณนี้ครับ ชามนี้ประมาณ 1.5 USD




หลังจากกินมื้อนี้เสร็จก็นั่งรถตุ๊กๆของ คณ socheat ไปยังโตนเลสาป 

โตนเลสาป (Tonle Sap) หรือทะเลสาบเขมรนั้น เป็น ทะเลสาปน้ำจืด ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย 
มองจากแผนที่กว้างๆก็ยังเห็น

Socheat จอดรถให้เราลงแล้วไปซื้อตั๋วให้เขาบอกว่า คนละ 15 USD โอ้ววว แพงจริง
ลืมหาข้อมูลเรื่องนั่งเรือมาซะด้วยสิ ว่าเสียกันเท่าไร แต่ไหนๆก็มาละ 
หลังจากซื้อตั๋วเสร็จ Socheat ก็แนะนำพวกเราว่าหลังจากนี้ไม่ต้องเสียไรแล้วนะ
ละเขาจะรออยู่ข้างบน ไปด้วยไม่ได้เพราะตั๋วมันแพง  'OK don't worry'




ชาวบ้าน ณ โตนเลสาปแห่งนี้ จะอยู่กันกลางทะเลสาป โดยบ้านเขาจะทำจากไม้สร้างเป็นแพ ลอยน้ำ
ที่นี้มีทุกอย่างพร้อม โรงเรียน โบสถ์ โรงพยาบาล แม้แต่สนามบาสก็ยังมี

หลังจากที่เขาพาเราชมวิถีชีวิตชาวบ้านริมทะเลสาป (ฟังดูหรูแหะ) ก็จะพอไปดูบ่อจระเข้
ระหว่างกำลังนั่งดูวิวชิวๆ ก็บังเอิญเห็นเหลือลำน้อยค่อยๆแล่นเข้ามาอย่างรวดเร็ว

นั่นไง !!!! มันมาแล้วววว 




ทันทีที่คนขับเรือผมเห็น ก็เร่งเครื่องหนีทันทีเลยครับ เรือลำนี้ก็ขับตามประกบอีก จนเรือลำที่ผมนั่งจอด
ไม่รู้ว่าจอดทำไม สงสัยเร่งไปคงเปลืองน้ำมันเปล่าๆละมั้ง

"1 Dollar " เสียงเจ้าหนูที่ห้อยงูอยู่นั่น กำลังเสนอเป็นค่าแลกเปลี่ยนกับการถ่ายรูปเขา


ถ้าพี่ไม่ให้ ผมจะปล่อยงูใส่เรือพี่ 3 ตัวเลยนะครับบ!!

ผมไม่ค่อยสนับสนุนเท่าไรกับการทำแบบนี้ น้องเขาก็พูดไรไม่รู้เรื่อง อารมณ์เหมือนบ่นที่
ไม่ยอมให้เงินสักที   คนขับเรือบอกว่าคนพวกนี้อพยพมาจากเวียดนาม
พูดอะไรเขาก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกัน

ไม่นานนักก็มีเรือลำที่ 2 ลำที่ 3 มาประชิดเรือ พี่คนขับเห็นท่าจะไม่ไหวเลยขับต่อดีกว่า
เขาพาเรามายังบ่อจระเข้กลางน้ำ เลี้ยงกันไม่กลัวจระเข้หลุดกันเลย O[]O"




ชุมชนคนกลางน้ำ
โบสถ์
โรงเรียนของหนู...อยู่กลางน้ำ

เรือโรงเรียน...ด้านหลังนั่น คือ สนามบาสลอยน้ำ o[]o"


พระอาทิตย์เริ่มจะลาลับขอฟ้า ก็ถึงเวลาที่เราจะต้องกลับแล้ว เราขึ้นฝั่งแล้วเดินมายังจุดนัดพบกับคุณ Socheat เพื่อจะไปกินมื้อเย็นที่ร้าน Koulen Restaurant








ร้านนี้เป็นร้านอาหารสไตล์บุฟเฟต์ มีการแสดง รำนางอัปสร และการแสดงพื้นบ้าน 
เหมือนทัวร์จะมาลงที่นี้ค่อนข้างเยอะ แต่โดยส่วนตัวแล้วผมว่าอาหารไม่ค่อยอร่อยเท่าที่ควร
ไม่ใช่ไม่ถูกปากนะ แต่มันประหยัดเนื้อ เหมือนไปกินมังสวิรัติยังไงยังงั้น ไม่ค่อยคุ้มกับ 12 USD
แล้วก็เครื่องดื่มไม่รวมด้วย  แต่ก็มาลองดูก็ได้นะ ว่าการแสดงบ้านเขาจะคล้ายๆกับการแสดงของ
บ้านเรารึป่าว ^^

หลังจากจบการแสดงประมาณ 2 ทุ่มกว่าเราก็ออกมาเจอ Socheat 
เขาชวนเราไปยัง Local pub street ที่มีแต่คนพื้นที่เท่านั้นที่ไป  เราก็เลยลองไปดู

เขาสั่งกับแกล้มแปลกๆมาให้ลองชิม คือ เนื้อย่างผัดกับมดแดง รสชาติแปลกๆดี
กินคู่กับ angkor beer เบียร์ชื่อดังของที่นี้

เขาเล่าให้ฟังว่า เขาไปเจอคนใจดีคนหนึ่งที่ออกค่ารถตุ๊กๆให้ และให้เขาผ่อนที่หลัง 
เขาเลยได้มาขับรถตุ๊กๆและฝึกภาษาอังกฤษจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศ
ทำให้พูดภาษาอังกฤษค่อนข้างดีเลยนะ  ผมว่าการฝึกพูดเยอะ และฟังมากๆจะทำให้เรา
เรียนรู้ภาษาได้ดีและเร็วขึ้น

เขาบอกว่า เขาอยากมาประเทศไทย ผมเลยชวนเขามาเที่ยวบ้านเราบ้าง
"ถ้าคุณมีโอกาสมาได้เลย ผมจะพาทัวร์เอง"
" Someday " เขาตอบ...พร้อมรอยยิ้มแห่งความหวัง

หลังจากกินกันเสร็จ เขามาส่งเรายัง old market และนัดแนะเวลาของวันพรุ่งนี้

ผมกับเพื่อนเดินดูของฝากกัน ร้านส่วนมากจะขายของคล้ายกับบ้านเรา
เลยไม่รู้จะซื้ออะไรฝากดี  และที่นี่ร้านสปาปลาเยอะมาก เดินไปไหนก็เจอ
อาจจะเพราะคนมาเที่ยวที่นี้ต้องเดินเยอะละมั้ง เลยอยากผ่อนคลาย
(รูปไว้แปะ entry หน้านะ)

นี่คือการเดินทางวันแรก ของผม...  แค่วันแรกก็เจออะไรเยอะแยะไปหมด 
การเดินทางมันสนุก และน่าตื่นเต้น ตรงนี้ละ  \(^o^)/