Saturday, February 25, 2012

Life on foot






In one life ... We can walk as far as possible to how it is.
Christoph Rehage  he takes a year to walk 4,646 miles.
Throughout the trip, he was not cut. And shave it.
At first time he planned to walk from China returned to his hometown in Germany.He walked and walked over 4500 km, so he decided to stop.


Why did he stop?
He said " I wanted to gain back my life. I had to regain control over myself, eliminate the inner boss that was telling me what to do. A lot of people look at the video thinking “I want to be free like that guy!” – but they don’t realize that I was driven by something, and maybe I was losing control over it.


Someone ask him How did the walk change your life?
He answered " I learned how to walk, and how to stop walking. 

What more could I want? :) "


I think this is the most important thing that he had received from this time.To have a talk with yourself to understand it more ...


Let's to walk.Talk to yourself. Maybe you should know. What do you really want?


Thanks this clip from POD




ในชีวิตหนึ่ง...เราสามารถเดินไกลมากที่สุดได้ขนาดไหนกันนะ

Christoph Rehage เขาใช้เวลาเดินทาง 1 ปีเต็มกับการเดินทาง 4646 กิโลเมตร
โดยตลอดการเดินทางนั้นเขาไม่ตัดผม และโกนหนวดเลย
ในตอนแรกเขาวางแผนไว้ว่าจะเดินทางจากจีน  กลับไปยังบ้านเกิดของเขาที่เยอรมัน
เขาเดิน เดิน และเดินไปกว่า 4500 กม. จึงตัดสินใจที่จะหยุดเดิน

ทำไมเขาจึงหยุดเดิน?
เขาบอกว่า "เขาต้องการชีวิตของเขากลับคืนมา เขาเดินจนรู้สึกเหมือนบางอย่างข้างใน
ควบคุมเขาอยู่  จนสูญเสียการควบคุมของตัวเอง"

มีคนถามเขาว่า การเดินครั้งนี้ เปลี่ยนชีวิตคุณอย่างไรบ้าง ?

เขาตอบว่า " เขาได้เรียนรู้วิธีการเดิน เรียนรู้วิธีการหยุดเดิน และที่มากกว่านั้น คือ
เขารู้ว่าเขาต้องการอะไร ? "

ผมว่านี่ละคือสิ่งที่สำคัญที่สุดที่เขาได้รับจากเดินในครั้งนี้
การได้มีเวลาอยู่กับตัวเอง คุยกับตัวเอง อาจจะเข้าใจตัวเองมากขึ้น...

ลองเดินดู บางทีคุณอาจจะรู้ ว่าชีวิตคุณต้องการอะไร ?

ขอบคุณ พจน์ ที่แนะนำคลิปนี้ครับ




Saturday, February 11, 2012

Don't Worry, Be Happy



In a way of the future...
If you don't know everything.... 
what do u want to do? 
where do you want to go?

.... Don't Worry, Be Happy : ) ...

Thursday, February 9, 2012

Enjoy the journey BKK - CAM - VN (BKK-Siem Reap)

การเดินทางครั้งนี้ เป็นการเที่ยวที่นานที่สุดของผม ใช้เวลา 11 คืน 12 วัน
ผมวางแผนไว้ว่าจะแวะเที่ยวนครวัด-นครธมที่เขมรก่อนแล้วค่อยเข้าเวียดนาม
ทำให้การเที่ยวครั้งนี้ค่อนข้างนานนิดนึง

กับการจากบ้านไปไกล ทำให้คิดอยู่นานว่าจะเอาเสื้อไปเท่าไร กางเกงในกี่ตัว :P
สรุปก็เท่าที่เห็นดังภาพละครับ


Add caption

ออกเดินทางกันเลย....


24 ธ.ค.2554

พวกเราตื่นกันแต่เช้ามืดที่บ้านโจ้ มาอาศัยบ้านมันนอนก่อน ก็เพราะว่ากลัวไม่ตื่นกัน

ตี 5.45 เป็นเวลาที่เรานัดรถบ่อนไว้ว่าจะไปขึ้นที่ฝั่งตรงข้ามกับตึกอื้อจื้อเหลียง
เขาจะจอดที่ป้ายรถเมล์พอดี

รถบ่อน คือรถบัสที่พาเหล่านักเสี่ยงโชค ข้ามแดนไปยังฝั่งเขมร เพื่อไปเล่นคาสิโน
ราคา 200 บาทไป-กลับ เราสามารถโทรจองรถไว้ก่อน หรือจะไปขึ้นเลยก็ได้

หาข้อมูลเพิ่มได้จากเวบ  arantoday

หลับๆตื่นๆ ไม่ทันไรรถบ่อนก็พาเรามายังแถวหน้าด่านแล้ว เราก็เดินมึนๆตามกลุ่มลุงๆป้าๆ ไป
พวกเขาจะเดินเร็วมาก ราวกับว่า ถ้าไปช้าแล้วกูจะไม่ได้เล่นยังไงยังงั้น
ถ้าตามไม่ทันก็เดิน ชิดซ้ายไปเรื่อยๆ ก็จะถึงด่านตม.ไทยเพื่อเช็คหนังสือเดินทางก่อน
(รับใบเข้าออกประเทศที่หน้าด่านได้เลย)

เพียงไม่กี่นาทีเราก็เดินออกมายังฝั่งเขมร แล้ว



พอเดินข้ามสะพานมาก็จะเจอคาสิโนเยอะแยะมากมาย ระหว่างที่พวกเราเดินอยู่นั่นก็มีคนเขมร
เข้ามาทักว่าจะไปไหน นครวัดหรอ เขาคงรู้ว่าเราเดินงงๆกันอยู่ เลยบอกให้เราเดินขวาไปเรื่อยๆ
จะเจอกับด่านตม. เจ้าหน้าที่ก็จะยื่นใบมาให้กรอก




เมื่อยื่นใบเข้าเมือง ปั้มลายมือเรียบร้อบแล้ว ก็เดินต่อมันยังวงเวียน หนุ่มเขมรผู้นั้น
ก็ยังคงตามเรามาอยู่  เขาบอกให้รอรถบัสฟรี เพื่อไปนั่งยังขนส่ง
ผมก็อ้าว แล้ว taxi ที่อยู่แถววงเวียน ที่ผมเคยอ่านใน review มันหายไปไหนซะแล้ว
เขาบอกไม่มีแท็กซี่ตรงนี้แล้วละ เพราะตำรวจจับ มีที่ขนส่งเท่านั้น

ในใจมันก็ไม่อยากเชื่อเลยแหะ กุจะโดนหลอกป่าวเนี่ย แต่ถ้ามีแท็กซี่ ระหว่างทาง
ก็ต้องมีคนมาทักเพื่อชวนไปขึ้นแท็กซีแล้วสิ ผมกับเพื่อนเลยตกลงเชื่อหนุ่มเขมรคนนั้น
แล้วขึ้นรถฟรีไปยังขนส่ง....



เมื่อมาถึงยังขนส่ง ก็ถึงกับอึ้งว่าจะเอาไงดี เพราะราคา Taxi นั้นแพงกว่าที่ในเวบ
ที่นี้ 48 USD แต่ในรีวิว น่าจะประมาณ 40 USD อืม...มาถึงนี้แล้ว ไม่มีทางเลือก เลยเสียกันไป
คนละ 12 USD เป็นค่าแท็กซี่  โดยที่ต่อราคาไม่ได้

ที่นี้ก็มีรถบัสให้ขึ้นแต่จะใช้เวลาเดินทางนาน และต้องรอคนด้วยเลยเลือกใช้แท็กซี่ดีกว่า



ราคาตั๋ว

เมื่อซื้อตั๋วแท็กซี่เสร็จ เราก็แลกเงินกัน ราคาแลกเงินที่นี้ไม่ค่อยดี 1 USD = 3800 เรียวเอง
ผมแนะนำว่าให้ไปแลกในเมืองจะดีกว่า  ที่เขมรนี้ค่าเงินจะใช้ได้ทั้ง USD และเงินเรียว

หน้าตา taxi พาเราไปยังเสียมเรียบ

ก่อนขึ้นรถแท็กซี่พ่อหนุ่มเขมรที่แนะนำเรามาตลอดทาง ก็ขอ 'ค่าน้ำใจ' พี่กั๊กยื่นไป 2000 เรียว
เพื่อนๆโหกันใหญ่ "ได้เยอะจังเลยตั้ง 2000 เรียว" เออคือ ตอนนั้นยังงงๆกับค่าเงินกันอยู่
2000 เรียว = 15 บาท

พวกเรานั่งรถกันมาประมาณ 2 ชม.ครึ่งก็ถึงที่พัก Shadow of angkor I
ซึ่งเราได้จองกันไว้ก่อนหน้าเดินทางมา เพราะเกรงว่าช่วงปีใหม่คนจะเยอะ
ที่พักนั้นจะเป็นบ้านไม้มี 3 ชั้น มีwiด้านข้างมีเซเว่นเซ่นส์กับพิซซ่าคอมปานีขายอยู่ด้วย
หลังจากเก็บข้าวของ ล้างหน้าเรียบร้อยแล้วผมก็พยายามทำการติดต่อ คุณ socheat
(ถ้าแปลเป็นไทยจะดูไม่น่าไว้ใจมาก 55)


socheat เป็นคนเขมรที่ผมติดต่อผ่านทางเว็บ couchsurfing ก่อนเดินทางมา
เขาเป็นคนขับตุ๊กๆอยู่ที่นี้ และใช้ภาษาอังกฤษได้ดี
ตอนแรกผมลองใช้โทรศัพท์เพื่อนที่เปิดใช้บริการ โทรได้ 3 ประเทศ ลาว เขมร เวียดนาม
แต่ดันหาสัญญาณไม่เจอ ทำไงก็ไม่ได้เลยตัดสินใจลงมาข้างล่างเพื่อขอยืมโทรศัพท์
ที่เคาร์เตอร์ใช้  ระหว่างที่พวกผมกำลังใส่รองเท้ากันอยู่นั้น ก็มีคนข้ามถนนเดินตรงเข้ามา
ตอนแรกผมทำไม่สนใจ  แต่...เอ๊ะ หน้าคุ้นๆวะ  แล้วเรียกชื่อผม ละก็แนะนำตัว
อ้าวว เฮ้ย!! socheat นี่เอง เขาบอกว่าเขามารอได้สักพักแล้ว เพราะก่อนหน้าที่ผมคุยกับเขานั้น
ได้บอกชื่อที่พักไปว่าจะมาพักที่นี้ เขาเลยมาหรอ  กลายเป็นว่า โชคดีกันไป

เว็บ couchsurfing เป็นเวบที่เราสามารถหาคนพาเราเที่ยวได้ หรือหาที่พักฟรีๆก็ยังได้
ไว้คราวหน้าจะทำการรีวิวละกันครับ

หลังจากแนะนำตัวกันเสร็จ เขาก็อธิบายแผนการเที่ยวว่าจะไปไปไหนบ้าง
เขาจะพาเราไปโตนเลสาปก่อน และปิดท้ายด้วยร้านบุฟเฟ่ ที่มีโชว์รำนางอัปสรา
เราก็โอเค ตามนั้น แต่เนื่องจากเรายังไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เช้า เลยบอกให้เขาพาไป
กินร้านบ้านๆหน่อย เขาพาเราไปกินยังร้านก๋วยเตี๋ยวแห่งหนึ่ง ผมจำไม่ได้ว่าเขาเรียกว่าอะไร
หน้าตาก็ประมาณนี้ครับ ชามนี้ประมาณ 1.5 USD




หลังจากกินมื้อนี้เสร็จก็นั่งรถตุ๊กๆของ คณ socheat ไปยังโตนเลสาป 

โตนเลสาป (Tonle Sap) หรือทะเลสาบเขมรนั้น เป็น ทะเลสาปน้ำจืด ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย 
มองจากแผนที่กว้างๆก็ยังเห็น

Socheat จอดรถให้เราลงแล้วไปซื้อตั๋วให้เขาบอกว่า คนละ 15 USD โอ้ววว แพงจริง
ลืมหาข้อมูลเรื่องนั่งเรือมาซะด้วยสิ ว่าเสียกันเท่าไร แต่ไหนๆก็มาละ 
หลังจากซื้อตั๋วเสร็จ Socheat ก็แนะนำพวกเราว่าหลังจากนี้ไม่ต้องเสียไรแล้วนะ
ละเขาจะรออยู่ข้างบน ไปด้วยไม่ได้เพราะตั๋วมันแพง  'OK don't worry'




ชาวบ้าน ณ โตนเลสาปแห่งนี้ จะอยู่กันกลางทะเลสาป โดยบ้านเขาจะทำจากไม้สร้างเป็นแพ ลอยน้ำ
ที่นี้มีทุกอย่างพร้อม โรงเรียน โบสถ์ โรงพยาบาล แม้แต่สนามบาสก็ยังมี

หลังจากที่เขาพาเราชมวิถีชีวิตชาวบ้านริมทะเลสาป (ฟังดูหรูแหะ) ก็จะพอไปดูบ่อจระเข้
ระหว่างกำลังนั่งดูวิวชิวๆ ก็บังเอิญเห็นเหลือลำน้อยค่อยๆแล่นเข้ามาอย่างรวดเร็ว

นั่นไง !!!! มันมาแล้วววว 




ทันทีที่คนขับเรือผมเห็น ก็เร่งเครื่องหนีทันทีเลยครับ เรือลำนี้ก็ขับตามประกบอีก จนเรือลำที่ผมนั่งจอด
ไม่รู้ว่าจอดทำไม สงสัยเร่งไปคงเปลืองน้ำมันเปล่าๆละมั้ง

"1 Dollar " เสียงเจ้าหนูที่ห้อยงูอยู่นั่น กำลังเสนอเป็นค่าแลกเปลี่ยนกับการถ่ายรูปเขา


ถ้าพี่ไม่ให้ ผมจะปล่อยงูใส่เรือพี่ 3 ตัวเลยนะครับบ!!

ผมไม่ค่อยสนับสนุนเท่าไรกับการทำแบบนี้ น้องเขาก็พูดไรไม่รู้เรื่อง อารมณ์เหมือนบ่นที่
ไม่ยอมให้เงินสักที   คนขับเรือบอกว่าคนพวกนี้อพยพมาจากเวียดนาม
พูดอะไรเขาก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกัน

ไม่นานนักก็มีเรือลำที่ 2 ลำที่ 3 มาประชิดเรือ พี่คนขับเห็นท่าจะไม่ไหวเลยขับต่อดีกว่า
เขาพาเรามายังบ่อจระเข้กลางน้ำ เลี้ยงกันไม่กลัวจระเข้หลุดกันเลย O[]O"




ชุมชนคนกลางน้ำ
โบสถ์
โรงเรียนของหนู...อยู่กลางน้ำ

เรือโรงเรียน...ด้านหลังนั่น คือ สนามบาสลอยน้ำ o[]o"


พระอาทิตย์เริ่มจะลาลับขอฟ้า ก็ถึงเวลาที่เราจะต้องกลับแล้ว เราขึ้นฝั่งแล้วเดินมายังจุดนัดพบกับคุณ Socheat เพื่อจะไปกินมื้อเย็นที่ร้าน Koulen Restaurant








ร้านนี้เป็นร้านอาหารสไตล์บุฟเฟต์ มีการแสดง รำนางอัปสร และการแสดงพื้นบ้าน 
เหมือนทัวร์จะมาลงที่นี้ค่อนข้างเยอะ แต่โดยส่วนตัวแล้วผมว่าอาหารไม่ค่อยอร่อยเท่าที่ควร
ไม่ใช่ไม่ถูกปากนะ แต่มันประหยัดเนื้อ เหมือนไปกินมังสวิรัติยังไงยังงั้น ไม่ค่อยคุ้มกับ 12 USD
แล้วก็เครื่องดื่มไม่รวมด้วย  แต่ก็มาลองดูก็ได้นะ ว่าการแสดงบ้านเขาจะคล้ายๆกับการแสดงของ
บ้านเรารึป่าว ^^

หลังจากจบการแสดงประมาณ 2 ทุ่มกว่าเราก็ออกมาเจอ Socheat 
เขาชวนเราไปยัง Local pub street ที่มีแต่คนพื้นที่เท่านั้นที่ไป  เราก็เลยลองไปดู

เขาสั่งกับแกล้มแปลกๆมาให้ลองชิม คือ เนื้อย่างผัดกับมดแดง รสชาติแปลกๆดี
กินคู่กับ angkor beer เบียร์ชื่อดังของที่นี้

เขาเล่าให้ฟังว่า เขาไปเจอคนใจดีคนหนึ่งที่ออกค่ารถตุ๊กๆให้ และให้เขาผ่อนที่หลัง 
เขาเลยได้มาขับรถตุ๊กๆและฝึกภาษาอังกฤษจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศ
ทำให้พูดภาษาอังกฤษค่อนข้างดีเลยนะ  ผมว่าการฝึกพูดเยอะ และฟังมากๆจะทำให้เรา
เรียนรู้ภาษาได้ดีและเร็วขึ้น

เขาบอกว่า เขาอยากมาประเทศไทย ผมเลยชวนเขามาเที่ยวบ้านเราบ้าง
"ถ้าคุณมีโอกาสมาได้เลย ผมจะพาทัวร์เอง"
" Someday " เขาตอบ...พร้อมรอยยิ้มแห่งความหวัง

หลังจากกินกันเสร็จ เขามาส่งเรายัง old market และนัดแนะเวลาของวันพรุ่งนี้

ผมกับเพื่อนเดินดูของฝากกัน ร้านส่วนมากจะขายของคล้ายกับบ้านเรา
เลยไม่รู้จะซื้ออะไรฝากดี  และที่นี่ร้านสปาปลาเยอะมาก เดินไปไหนก็เจอ
อาจจะเพราะคนมาเที่ยวที่นี้ต้องเดินเยอะละมั้ง เลยอยากผ่อนคลาย
(รูปไว้แปะ entry หน้านะ)

นี่คือการเดินทางวันแรก ของผม...  แค่วันแรกก็เจออะไรเยอะแยะไปหมด 
การเดินทางมันสนุก และน่าตื่นเต้น ตรงนี้ละ  \(^o^)/