Sunday, January 20, 2013

antenna cafe จุดเริ่มต้นของมิตรภาพเล็กๆ

เมื่อเรือเฟอรี่ค่อยๆ เทียบท่า
ก็ถึงเวลาที่ผมต้องลงจากเรือแล้ว
ผมมองหาตู้โทรศัพท์เพื่อติดต่อโฮสต์เป็นอันดับแรก
โชคดีที่มันอยูู่ใกล้ๆ
โชคร้ายที่โทรไป แล้วดันฝากข้อความ
เสียฟรีไป 20 เยน

ผมโทรไปอีกครั้งด้วยความตื่นเต้น
"โมชิ โมชิ" โฮสต์รับสาย
ผมแนะนำตัว และบอกว่าได้มาถึงแล้ว
ด้วยความอ่อนด้อยทางภาษาอังกฤษ
ทำให้ผมจับใจความได้แค่ว่า
รออยู่นั้นละ เดี๋ยวไปรับ - -"














 

ต้องขอบคุณเจ้าตู้นี้ ที่ทำให้ผมรู้ว่า
  โทรศัพท์สาธารณะยังมีประโยชน์อยู่  




















                                                             



                                                                     
ผมเดินถ่ายรูปเล่นสักพัก
ไม่นานนัก ก็มีรถจี๊บ สีขาวขับตรงเข้ามา
กระจกรถค่อยๆเลื่อนลง
หน้าตาคุ้นๆ โฮสต์ผมนั้นเอง !!

(นี่คืออีกสิ่งสำคัญในการเลือกโฮสต์ ควรจะเลือกคนที่โพสต์รูปตัวเอง
สถานที่พัก บรรยากาศการทำงานไว้ด้วย จะทำให้เรารู้จักหน้าตาก่อนเจอตัวจริง)

ผมยัดเป้ใส่ท้ายรถ
ในรถมีเพื่อนที่เป็น wwoofer ด้วยกันอีก 2 คน 
ขณะที่รถกำลังเคลื่อนไป
เราเริ่มทำความรู้จักกัน

โฮสต์ผม เธอชื่อหลุยซัง (ซัง หมายความ คุณ ใช้เรียกคนที่อายุเยอะกว่า)
เป็นสาวจากโตเกียว ที่หนีความวุ่นวาย
มาเปิดร้านกาแฟที่เกาะเล็กๆแห่งนี้
เธอเล่าให้ฟังว่า ตอนเด็กๆ เธอเคยลงเรียนวิชาภาษาไทยด้วย
ตอนนี้ลืมไปหมดแล้ว จำได้แค่ "สวัสดีค่ะ" "ขอบคุณค่ะ"

wwoofer คนแรกเป็นผู้ชาย ผิวคล้ำออกไปทางดำ
มาจากอเมริกา ชื่อ แบรนดอน (brandon)
แบรนดอนอายุน้อยกว่าผมไม่กี่ปี กำลังเรียนอยู่มหาวิทยาลัย
สนใจประเทศญี่ปุ่น และมีแพลนว่าจะไปwwoof ในหลายๆทีของโตเกียว

wwoofer อีกคนชื่อ คานะซัง เป็นคนญี่ปุ่น บ้านเกิดอยู่เกียวโต
กำลังตัดสินใจย้ายมาอยู่เกาะนี้ เพราะอากาศดีกว่าในเมืองมาก

ส่วนผมเป็นคนไทย ที่พูดญี่ปุ่นก็ไม่ได้ ภาษาอังกฤษก็ไม่คล่อง
มีแต่ใจที่รักการเดินทางเท่านั้น ฮิ้วว

หลุยซัง ขับรถวนชมวิว ให้คานะซังลงไปถ่ายรูป
ผมเลยถือโอกาส ลงไปถ่ายบ้าง


แอบถ่ายคานะซังจากด้านหลัง













                                               















                                             
ผมรู้สึกว่า ถ้าถ่ายจากมุมสูงจะสวยกว่านี้
วิวตรงนี้มันโล่งมาก

จากที่ชื่นชมวิวจนหน่ำใจ หลุยซังก็ขับพามายังร้าน antenna
ร้านกาแฟเล็กๆ ที่นับจากนี้อีก 9 วันผมจะต้องทำงานอยู่ที่นี้

















antenna เป็นร้านขายของที่ระลึก มีขนม ผลิตภัณฑ์ของเกาะนี้
รวมไปถึงจากประเทศแถบยุโรปด้วย และเป็นคาเฟ่เล็กๆที่ให้คนแถบนี้
มากินขนมปังและจิบกาแฟยามบ่าย ร้านเปิดบ่ายโมง และปิด 1 ทุ่ม

มาถึงก็เริ่มงานทันที
คิดในใจ นี่จะไม่ให้(กู)พักเลยหรือไง เดินทางจากโตเกียว
ตั้งแต่เมื่อวานมาเลยนะ - -*

แบรนดอน ทำหน้าที่สอนงานให้ เพราะ เขาอยู่ที่นี้มาเป็นเดือนแล้ว
ก่อนเปิดร้าน ก็ไม่มีอะไรมาก รดน้ำต้นไม้ กวาดหยากไย่ กวาดพื้น ถูพื้น ทิ้งขยะ
อืมม ไม่มีอะไรมาก..

เมื่อลูกค้าเข้ามาร้าน เราต้องรีบเสิร์ฟน้ำเปล่า ก่อนเป็นอันดับแรก
แล้วเอากระดาษจด ไปรับออร์เดอร์

ด้วยความที่ฟังภาษาญี่ปุ่นไม่ได้ เลยต้องขอบายหน้าที่นี้

(แนะนำว่าถ้าคุณมา wwoof และจะทำงานในร้านคาเฟ่ ควรจะมีทักษะในการพูด
 และฟังนิดนึง  หรือพกหนังสือสอนภาษาญี่ปุ่นมาอ่านด้วย จะได้ประโยชน์มากๆ)

ช่วงพักกลางวัน อาหารมื้อแรกที่ตกถึงท้อง เป็นขนมปังกับแยม และมะเขือเทศ
o_O" บ้านเขากินกันแค่นี้หรอ นี่มื้อกลางวันนะเนี่ยยย
ฝืนใจกินจนหมด รวมถึงมะเขือเทศที่ไม่ชอบด้วย

ผมหยิบข้าวแต๋น และทุเรียนกรอบออกจากกระเป๋า
แบ่งให้โฮสท์และเพื่อนวูฟทานกัน
คานะซังติดใจข้าวแต๋นมาก ส่วนแบรนดอนบอกว่าไม่เคยเห็นทุเรียนมาก่อน
ไม่รู้หน้าตาเป็นยังไง ผมเล่าสรรพคุณของมันให้ฟังว่า
บางคนบอกว่า มันเหม็นเหมือนขี้ และสนามบินห้ามนำทุเรียนขึ้นด้วย
แบรนดอนฮา บอกว่าเขาจินตนาการไม่ออกเลย
ถ้ามาไทย ทุเรียนคือสิ่งแรกที่เขาอยากลองทาน

หมดเวลาพัก ก็ได้เวลาทำงาน
วันนี้ลูกค้าค่อนข้างน้อย
เขาก็พยายามให้ผมเก็บนู้น กวาดนี้

ผมรู้สึกค่อนข้างเกร็ง
เวลาต้องมาอยู่คนเดียวกับคนแปลกหน้า
ที่สื่อสารกันคนละภาษา แต่มันสนุกตรงที่ได้เรียนรู้ระหว่างกันนี่ละ
จากคนไม่รู้จัก ก็จะเปลี่ยนมาทักกัน โดนไม่เขินอาย

ตกเย็นของวันนั้น ที่ร้านมีฉายหนัง เปิดผ่านโปรเจกเตอร์
มีกลุ่มคนเล็กๆ มานั่งชม ผมว่าคงเป็นคนรู้จักของหลุยซังนี่ละ

หนังที่ฉายเป็นเรื่องราวของชาวติมอร์ตะวันออก
ที่พยายามลุกขึ้นต่อสู้ เพื่อแยกตัวเป็นอิสรภาพจากประเทศอินโดนีเซีย
เรื่องมันเศร้าตรงที่ว่า รัฐบาลญี่ปุ่นเองกลับสนับสนุนอาวุธฝ่าย
อินโดนีเซีย เพื่อต่อต้านการเรียกร้องอิสรภาพในครั้งนี้
บางคนดูถึงกับน้ำตาซึม
แต่ผมดูถึงกลับง่วงซึม
เพราะมันเป็น subtiltle ภาษาญี่ปุ่น
ดูไปง่วงไป - -
(ขอบคุณ คานะซังที่แปลให้ฟังทีหลัง)

มีพี่คนคนนึงติสต์มาก ด้วยความซาบซึ้ง
เขาหยิบกีต้าร์ขึ้นมา ร้องเพลงคิดเนื้อกันสดๆ
เพลงที่สื่อถึงความเสียใจกับ คนที่จากไป
และให้กำลังใจกับคนที่ยังมีชีวิตอยู่

บรรยากาศเศร้า ปนความอบอุ่น

ผมรู้สึกได้ถึง มิตรภาพเล็กๆ ที่ก่อตัวขึ้น..



Friday, January 18, 2013

ระหว่างทางไป wwoof

31 ส.ค. 2555  20:00 น.  ณ shinjuku willer express bus





















                                                                

ผมกำลังนั่งใจจดใจจอ รอขึ้นรถบัส เพื่อเดินทางไปยังจังหวัดฮิโรชิม่า
อีกประมาณ 10 นาทีเขาคงจะเรียกผม ให้ไปเข้าแถว
แต่ผมคงฟังไม่ออกหรอก
อาศัยเดินตามๆเขาไป...

ผ่านมาอาทิตย์นึงแล้วสินะ
ที่ผมได้มาอยู่ที่ญี่ปุ่น
เมืองที่ผมใฝ่ฝันว่าอยากจะมาเยือนอีกสักครั้ง
ครั้งนี้ต้องขอบคุณน้องสาวผมมาก
ที่พาผมไปนู้นไปนี้
แถมเลี้ยงข้าวผมอีกต่างหาก
แต่นับจากนี้ ผมคงต้องเดินทางคนเดียวแล้ว
(จ่ายตังค์เองอีกต่างหาก TT TT" )

ผมรู้สึกหวั่นๆกับการไป wwoof ยังไงก็ไม่รู้
อาจจะเพราะผมต้องเดินทางคนเดียว
ในประเทศที่ผมไม่เข้าใจภาษา

มีคนแนะนำให้ผมใช้วุ้นแปลภาษาของโดเรมอน
เผื่อจะช่วยให้คุยกับคนญี่ปุ่นรู้เรื่องได้บ้าง


10 นาทีผ่านไป ผมค่อยๆ เดินตามเขาขึ้นไปบนรถ
รถบัส บ้านเขาก็ไม่ต่างจากบ้านเราเท่าไร
แต่ที่นี้ถ้าเป็นรถที่วิ่งกลางคืนจะมีม่านสีดำ
ปิดทั้งคันรถ เพื่อไม่ให้แสงข้างนอกรอดเข้ามา

เดินมายังไม่ทันจะหย่อนตูดถึงเบาะ คนข้างๆที่นั่งผมก็ทักทาย
ถามว่ามาจากไหน
 " Thailand "
ผมตอบไปด้วยความภาคภูมิใจในความเป็นไทย

" สวัสดีครับ มาเที่ยวญี่ปุ่นหรอครับ "
เฮ้ย เขาพูดไทยได้
ผมคิดในใจสงสัยจะกินวุ้นแปลภาษามาแน่ๆ

แต่คุยไปคุยมา เขาพูดไทยได้คล่องมากๆ
เขาบอกว่า เขาไปเมืองไทยบ่อย ปีละ 3-4 ครั้ง
เกือบ 10 ปีแล้ว โอ้วว
ผมรู้สึกอุ่นใจทันที ที่มีคนเข้าใจภาษาไทย

จากโตเกียว ถึงฮิโรชิม่า
ระยะทางพอๆกับ นั่งรถจากกรุงเทพ ไป ภูเก็ต

รถถึงสถานีฮิโรชิม่า 7.30น. เป๊ะๆ
ญี่ปุ่นนี้เขาตรงเวลาจริงๆ

การเดินทางเกือบ 10 ชม.ของผมยังไม่จบ
มันต้องนั่งรถบัสไปอีกชั่วโมง และนั่งเรือข้ามฝากต่อไปอีก
เลือกโฮสต์ซะไกล ก็ต้องไปให้ถึงละ

เมื่อลงจากรถ หรือไปยังที่ใหม่ๆ
คำที่ผมมักอุทานในใจ คือ
" กุจะไปทางไหนต่อดีวะ "
เพราะไม่รู้จะเดินต่อไปทางไหนจริงๆ
รู้สึกสับสน วุ่นวายแล้วตื้นเต้นไปหมด

แต่เมื่อรวบรวมสติได้ ป้ายกับแผนที่เป็นสิ่งสำคัญที่สุด

(ควรจะศึกษาเส้นทางดีๆ ว่าควรเดินไปทางไหน
และรถที่จะขึ้นจอดอยู่ป้ายไหน)


ผมใช้เวลาไม่นานนักก็เจอป้าย ตามที่จดไว้
เผื่อความแน่ใจ ผมก็เลยถามลุงกับป้าที่นั่งอยู่
ป้าพอพูดภาษาอังกฤษได้ เลยบอกผมว่า
เขาไปทางเดียวกัน แต่เขาจะลงก่อน
ผมต้องไปต่อ แค่นี้ผมก็ใจชื่นแล้ว





















                                               

นั่งไปสักพัก ป้าก็ยื่นกล่องข้าวมาให้
ในนั้นมี ข้าวปั้น 1 ก้อน ไข่ต้มครึ่งฟอง
บ๊วยดอง และขิงดอง

ไอ้ 2 อย่างแรกนั้นโอเคอยู่ แต่ 2 อย่างหลังนี่
ปกติผมจะไม่แตะมันด้วยซ้ำ
แต่ผมก็กินหมดด้วยความซาบซึ้งในน้ำใจ

ผมรู้สึกว่า ' มันอร่อยกว่าปกติ '

เมื่อถึงสถานีที่ลุงกับป้าต้องลง
เราโบกมือลา ผมโค้งคำนับ

รถบัสยังคงวิ่งต่อไป..

ไม่นานนักก็ถึงท่าเรือ
ผมรีบซื้อตั๋วแล้ววิ่งขึ้นเรือทันที



































                                

ไม่รู้ว่าถึงฝั่งแล้วผมจะต้องเจอกับสถานการณ์แบบไหน
โฮสต์จะเป็นยังไง ผมจะได้ทำงานแบบไหน
แต่ผมเชื่อว่า 'ความสนุก' รอผมอยู่





















--------   TIPS  --------

- ผมเลือกใช้บริการของ willer bus เพราะมันถูกกว่านั่งรถไฟ ลองเข้าไปหาข้อมูลได้ที่
http://willerexpress.com/st/3/en/pc/buspass/index.php

- จะมีราคาบัตรเหมา 3 วัน 10000 yen แนะนำให้วางแผนการเดินทางไปพร้อมกับการเลือกโฮสต์

- หากต้องการมายังเกาะ oosakikamijima หรือโฮสต์เดียวกับผม จากสถานีฮิโรชิม่า
ให้นั่งรถบัสชื่อ kaguya himego ที่ ชานชาลา C หมายเลข 12 มาลงยัง takehara port



ขอให้สนุกกับการเดินทางครับ






























Monday, January 7, 2013

กลับมาสู่โลกใบเดิม

"กลับมาสู่โลกใบเดิม"

ผมได้กลับมาสู่(ทาง)โลกอีกครั้ง
ฟังดูอาจเหมือนว่า
ผมนั่งยานอวกาศออกไปนอกโลกมา
แต่ทว่า เป็นทางธรรมมาสู่ทางโลกนั้นเอง

1 เดือนที่ผ่านมา
ผมไปอาศัยอยู่ใต้ชายผ้ากาสาวพัสตร์
ไปเป็นผู้ออกบวชจากเรือน
เพื่อทดแทนคุณบิดามารดา
เพื่อเรียนรู้ธรรมะ
และไปเรียนรู้ชีวิตของพระ
ว่าเขากิน อยู่ หลับ นอน กันยังไง
และทำอย่างไร ทำไมการเป็นพระ
ถึงเป็นวิถีที่จะหลุดพ้นจากกิเลส
ได้ดีที่สุด

1 เดือนนี้บางคนอาจจะคิดว่ามาก
บางคนอาจจะคิดว่าน้อยสำหรับการเป็นพระ
แต่ 1 เดือนนี้ มันก็ทำให้ผมหันมาสนใจพระพุทธศาสนา
ได้มากขึ้นเหมือนกัน

บวชวันแรก
ผมรู้สึกตื่นเต้น เหมือนเข้าโรงเรียนใหม่
ต่างสถานที่ ต่างการใช้ชีวิต ต่างสังคม
ทำให้ผมต้องเรียนรู้อะไรใหม่หมด
เริ่มตั้งแต่การนุ่งสบง และห่มจีวร

มันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด
ใส่สบงวันแรก
ก็รู้กันอยู่ว่าพระ เขาห้ามใส่กางเกงใน
ผมก็เกรงว่า ผ้ามันจะหลุด
กลัวน้องชายจะออกมาทักทายโลกภายนอก
เลยต้องใส่ ผูกให้แน่นจนพุงปลิ้นเลย

ที่ยากกว่านั้นคือจีวร ผ้าผืนใหญ่เอามาห่มกาย
ม้วนมันเข้าไปจนเมื่อยมือ
ใช้เวลาเป็นอาทิตย์กว่าจะใส่คล่อง

ถ้าไม่นับความลำบากในการใส่แล้ว
ผมชอบที่มันแห้งเร็วมากก
ตากแปปเดียวก็แห้งแล้ว

พระไม่ต้องซื้อของมาฉัน
ไม่ต้องลงมือทำกับข้าวเอง
แต่ต้องเดินบิณฑบาตร
  
นี่ละสิ่งที่ฝึกสติและดูอารมณ์ของเรา ได้เป็นอย่างดี
เวลาบิณฑบาตรนั้น พระเขาห้ามสวมรองเท้า
เลยมีโอกาสเหยียบหิน เหยียบตะปู รวมถึงขี้หมาได้
ถ้าเราไม่ระวัง ไม่มีสติ เราจึงต้องคอยก้มมองต่ำ
จับจ้องทุกย่างก้าว ว่าพื้นนั้นมีอะไรมั้ย จะเหยียบโดนอะไรรึป่าว

ข้อห้ามหลายอย่างของพระ
ที่พระใหม่ๆคอยทำผิดบ่อยๆ
ก็คือ

พระห้ามยืนฉันน้ำ
ลืมตัวกันประจำเลยข้อนี้ ผมว่าก็ดีนะมันเลยเป็นการฝึกสติเรา
ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่

อีกอย่างก็คือ พระห้ามยืนฉี่
ปกติผู้ชายเราก็ยืนฉี่กันประจำ ต้องนั่งลงฉี่เหมือนผู้หญิงแรกๆก็ไม่ชินเหมือนกัน

พระฉันแล้ว จะลุกไปไหนไม่ได้ ถ้าลุกก็ห้ามกลับมาฉันอีก

ผู้หญิงประเคนของห้ามรับจากมือ ต้องหาอะไรมารองรับ

มีอีกหลายกฏ หลายข้อห้ามที่ผมได้เรียนรู้
ว่าการเป็นพระ มันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด

มีอย่างนึงที่ผมรู้สึกตอนเป็นพระ ก็คือ
เออ สบายดีนะ ชีวิตที่อยู่กับปัจจุบัน
ไม่ต้องคิดถึงอดีต ไม่ต้องกังวลกับอนาคต
ดีซะจริงๆ

ตอนนี้ออกมาจากชีวิตแบบนั้นแล้ว
ผมก็ยังไม่แน่ใจกับอนาคตของผมอยู่เหมือนเคย
แต่ต่อจากนี้ผมจะพยายามเป็นคนที่มีสติในทุกการกระทำ
เรียนรู้อารมณ์ และระงับความรู้สึกที่บั่นทอนเราให้ได้
.
.
.
.
.

ไว้ผมจะกลับมาเล่า สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากการเป็นพระอีก

และจะถยอยเล่าเรื่องที่ผมไป wwoof ที่ญี่ปุ่นมา ให้จบ

(หวังว่าจะคอยตามอ่านกันนะครับ :P )