Tuesday, November 20, 2012

ตามล่าหาฟูจิซัง ตอนที่ 1 hakone

ในการเดินทางมาญี่ปุ่นครั้งนี้
สิ่งที่ผมอยากมาเห็นด้วยตาตัวเอง
นั่นก็คือ "ภูเขาไฟฟูจิ"
ภูเขาที่ถือว่าเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของประเทศญี่ปุ่น
และเป็นภูเขาที่สูงที่สุดในญี่ปุ่นด้วย
มีความสูงประมาณ 3776 เมตร วัดเส้นรอบวงได้
ยาวประมาณ 100 เมตร ตั้งอยู่บริเวณจังหวัดชิซึโอะกะ
และจังหวัดยะมะนะชิ

เช้าวันนี้ ผมกับน้องกำลังยืนรออยู่หน้าเคาร์เตอร์ เพื่อซื้อตั๋ว
Hakone-fuji pass ที่สถานีชินจูกุ
รอไม่นานนัก ประตูก็เปิดเลื่อนขึ้น
เราโชคดี ที่เจอพนักงานคนไทย
เลยง่ายต่อการสื่อสาร และสอบถามเส้นทาง

เราเลือกที่จะไปเที่ยวที่ ฮาโกเน่กันก่อน
ฮาโกเน่(Hakone) เป็นเมืองท่องเที่ยวโด่งดังที่ไม่ไกลจากโตเกียวมากนัก
และสามารถเห็นฟูจิซังได้ด้วย (ในวันฟ้าใสอ่านะ - -*)
เลยเป็นสถานที่ยอดนิยมของนักท่องเที่ยว
















                                                   

เรานั่งรถไฟจากสถานีชินจูกุจนถึงเมืองโอดาวาระ
จากสถานีโอดาวาระ เราสามารถนั่งรถไฟ หรือรถบัส
ไปเที่ยวที่ต่างๆในบริเวณฮาโกเน่ได้แล้วแต่เรา

ผมเลือกที่จะไปเที่ยวปราสาทโอดาวาระ
ก่อนอันดับแรก เพราะอยู่ไม่ไกลมากนักจากสถานี
สามารถเดินไปได้














                                                  

ผมใช้เวลาที่นี้ไม่มากนัก เพราะเคยไปเข้าชมปราสาทฮิเมจิที่โอซาก้ามาแล้ว
แต่ถ้าหากใครยังไม่เคยชมปราสาทญี่ปุ่นก็แนะนำให้เข้าไปดูครับ
แต่ที่ผมไม่เข้าไป เพราะมันจะคล้ายๆกัน เสียตังค์และ
ถ่ายรูปไม่ได้ด้วย แหะๆ
(ถ้ามาช่วงซากุระบาน ที่นี้จะสวยมากครับ ดูจากรูปของคนอื่นนะ)

หลังจากนั้นผมเดินกลับมายังสถานี
เพื่อนั่งรถบัสไปเที่ยวยังที่ต่อไป




รถบัสพาเรามาถึงท่าเรือฮาโกเน่มาจิ เพื่อขึ้นเรือชมทะเลสาบอาชิ
และภูเขาไฟฟูจิ














                                              

ระหว่างนั้นก็เดินหาของกินไปด้วย แต่ราคามันค่อนข้างแพงนัก
เราเลยฝากท้องกันที่ 7-eleven


เรือกำลังแล่นเข้ามาจอดข้างท่าเรือ ช้าๆ
รูปทรงของมันราวกับเรือในการ์ตูนวันพีช
ไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมลูฟี่ถึงอยากเป็นโจรสลัด 



ในแผ่นพับเขาบอกว่า ทะเลสาบแห่งนี้เกิดขึ้นจากการระเบิดของภูเขาไฟฮาโกเน่ 
ในยุคก่อนประวัติศาตร์ มีความยาวประมาณ 19 กิโลเมตร 
ในวันที่อากาศปลอดโปร่ง เราสามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิได้อีกด้านหนึ่งของทะเลสาบ

แต่วันนี้มันไม่ใช่วันที่อากาศปลอดโปร่ง 
มันเป็นวันที่เมฆเทาๆปกคลุมทั่วท้องฟ้า
ผมคงไม่ได้เห็นฟูจิซังง่ายๆแน่ๆ














                                               
                                             
หลังจากถึงฝั่ง เราเลือกที่จะนั่งกระเช้าต่อไปยังหุบเขาโอวาคุดานิ

















 





หุบเขาโอวาคุดานิ (owakudani) เป็นภูเขาไฟที่ยังไม่มอดสนิด 
ที่มีบ่อน้ำแร่กำมะถันที่เข้มข้น จนเมื่อนำไขjไก่ไปต้ม
แล้วเปลือกของไข่จะกลายเป็นสีดำ
และมีความเชื่อกันอีกว่าถ้ารับประทานไข่ดำ 1 ฟอง 
จะทำให้อายุยืนขึ้น อีก 7 ปี 
ทำให้นักท่องเที่ยวหลั่งไหลมาเที่ยวที่นี้เพื่อชิม "ไข่ดำ"
















                                                  

1 ถุงจะมีไข่อยู่ 6 ฟอง ราคา 500 เยน
ผมซัดไปเกือบ 4 ฟอง ตอนนี้ผมคงมีอายุยืนขึ้นอีก 28 ปีแล้วละ 55



ระหว่างที่ผมกำลังเดินกลับไปขึ้นกระเช้า
เมฆเทาๆค่อยๆจางหาย 
สิ่งที่ผมตามปรากฏอยู่เบื้องหน้า
นั้น นั้น ภูเขาไฟฟูจิ!!!!



























                                               

ผมดูภาพภูเขาที่อยู่ตรงหน้าเปรียบเทียบกับรูปถ่าย
ถ้าเรามาช่วงฤดูหนาว
เราคงเห็นหิมะปกคลุมฟูจิซังอยู่ด้านบน
เราคงพบกันเร็วเกินไป

หลังจากนี้ผมก็นั่งกระเช้า ต่อรถราง
เพื่อไปยังสถานีโกระ

















                                               

จากสถานีโกระตอนแรกผมวางแผนกับน้องจะไปยัง
Gotemba outlet แต่ถามคนขับแล้วเขาบอกว่าเวลาไม่น่าจะพอ
ผมเลยเปลี่ยนแผนเพื่อไปสถานีโกเทมบะเลย

จากสถานีโกเทมบะ ต้องนั่งรถต่อเพื่อไปยัง
สถานีคาวากูจิโกะ เพื่อเข้าที่พักที่ได้จองไว้





















                                                                         

วันนี้เป็นการเดินทางที่ยาวนาน
และเหนื่อยมากเพราะต้องนั่งรถหลายต่อ

แต่วิวระหว่างที่นั่งรถผ่านก็ทำให้ ผมหายเหนื่อยได้เหมือนกัน



















--------   TIPS  --------

- บัตร Hakone-Fuji Pass ราคา 7200 เยน
ใช้ได้ 3 วัน ซื้อ pass ได้ที่ Odakyu sightseeing service center
สถานีชินจูกุ ฝั่งประตูออกทางด้าน west











                                    


                                                                              
- หากไปช่วงหน้าเทศกาลควรจองตั๋วล่วงหน้า
- ใช้บัตร pass นี้เป็นส่วนลดเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวได้ด้วย
- หากคนที่จะไป Hakone อย่างเดียวก็มี pass เฉพาะ
5000 เยน สำหรับ 2 วัน
- การเที่ยวแต่ละที่ที่ฮาโกเน่ ต้องวางแผนเวลาให้ดีๆ
และเช็คเวลารถรอบสุดท้ายด้วยว่าออกกี่โมง



Sunday, November 18, 2012

เหล่สาวที่ Shibuya


ในหนังสือ guidebook ที่ผมซื้อมานั้น
เขาบอกว่า หากอยากสัมผัสความวุ่นวาย
ต้องไป "ชิบุย่า"

ผมเลยชวนน้องไปเดินชิบุย่ากัน
ผมอยากรู้ว่า แหล่งช้อปปิ้งของวัยรุ่นในญี่ปุ่นนั้น จะเหมือนกับสยามบ้านเรามั้ย
และมันจะวุ่นวายขนาดไหน














                                                   

ออกจากสถานีมาก็เจอกับคนเยอะมากก
ที่นี้เป็นสถานที่ๆที่วัยรุ่นนิยมมาเดินกัน
เพราะมีห้างชื่อดังตั้งอยู่มากมาย

มาที่นี้ผมไม่ได้เดินช้อปปิ้ง หรือซื้อของใดๆทั้งนั้น
แต่เดินดูผู้คนเดินผ่านไป ผ่านมา
(แลดูว่าง 555)

ที่จริงผมตั้งใจจะกิน shibuya honey toast
แต่เจออยู่แค่ร้านเดียว และเขาบังคับให้สั่งข้าวด้วย
เยอะไป เลยเดินหาร้านอื่นดีกว่า แต่ก็ไม่เจอ


















                                                   














                                                   

อีกอย่างหนึ่งที่ผมอยากมาเห็นที่ชิบุย่า คือ
5 แยก ที่มีคนเป็นร้อยเดินข้ามถนน
เหมือนกับที่ผมเคยเห็นในซี่รีญี่ปุ่น

พระเอกอยู่ฝั่งหนึ่ง
นางเอกอยู่อีกฝั่งหนึ่ง
เดินมาพบกันระหว่างทาง
ท่ามกลางผู้คน เดินผ่านไปผ่านมา

อาจจะไม่เห็นภาพกัน ว่าคนเยอะขนาดไหน
ผมเลยถ่ายเป็นวิดีโอมาให้ดู ^^

                                                                 

อีกสัญลักษณ์ชื่อดังของชิบุย่า 
ก็คือ รูปปั้นน้องหมา ฮาชิโกะ
หมาน้อยผู้ซื่อสัตย์ ที่จะคอยเดินมาส่งเจ้านายของมัน
และรอรับที่สถานีรถไฟทุกเย็น จนกระทั่งวันหนึ่ง
เจ้านายได้เสียชีวิตลงอย่างกระทันหัน โดยที่มันไม่รู้เลย
เจ้าฮาชิโกะ ก็ยังคงมารอรับเจ้านายกลับบ้านทุกเย็น
ทุกวันเป็นเวลาหลายปี จนกระทั่งมันแก่ตายไป

ปัจจุบัน รูปปั้นนี้จึงกลายเป็นจุดนัดพบยอดนิยมของคนที่มาเที่ยวชิบุย่า








Friday, November 16, 2012

โตเกียว ท้องฟ้า ต้นไม้

เหนือฟ้ายังมีฟ้า
เหนือโตเกียวทาวเวอร์ (tokyo tower) ยังมี
"โตเกียวสกายทรี (tokyo sky tree)"

โตเกียวสกายทรี (tokyo sky tree) หรือโตเกียวทาวเวอร์แห่งใหม่นั้น
เป็นหอกระจายคลื่น ขนาดความสูง 634 เมตร (2,080 ฟุต)
เป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในประเทศญี่ปุ่น
และนับว่าเป็น หอคอยสื่อสารที่สูงที่สุดในโลก

เมื่ออาคาร และตึกต่างๆถูกออกแบบ
และแข่งกันสร้างให้สูงขึ้นเรื่อยๆ
โตเกียวทาวเวอร์ ที่เคยยิ่งใหญ่
และมีความสำคัญมากกับประเทศญี่ปุ่น
ในช่วงหนึ่ง กลับไม่สามารถส่งสัญญาณโทรทัศน์ได้อีก
เนื่องถูกอาคารเหล่านั้นบดบังสัญญาณ
"โตเกียวสกายทรี" จึงได้ถือกำเนิดขึ้น

หลังจากที่เดินเที่ยวภายในวัดอาซาคุสะเสร็จ
ผมและน้องก็วางแผนว่าจะเดิน
ไปเที่ยว โตเกียวสกายทรี
หอคอยแห่งใหม่ของญี่ปุ่นกัน














                                                 
 
วิวริมแม่น้ำตรงนี้สวยมาก ผมเลยขอนั่งพักชมวิวสักหน่อย
ผมรู้สึกว่าบ้านเมืองของญี่ปุ่นนั้น ถึงจะมีตึกอาคารสูงมากมายเพียงใด
แต่มันก็ยังมีพื้นที่ให้เราได้เห็นท้องฟ้ากว้างๆอยู่บ้าง
หรือไม่ก็เป็นประเทศที่แม่น้ำค่อนข้างเยอะ
ทำให้ผมหลงรักวิวริมแม่น้ำของที่นี้จริงๆ

เหมือนจะใกล้ แต่ก็ไกลเหมือนกัน



































                                            
                                          

และแล้วเราก็มาถึง โตเกียวสกายทรี
ผมลองเสิชกูเกิลดูว่าพบว่า
ถ้าเดินจาก asakusa ระยะทางก็ประมาณเกือบ 2 กิโลเมตร
หากมีเวลาน้อย นั่งรถไฟจะเร็วกว่า

บริเวณโตเกียวสกายทรี
จะมีทั้งห้างและพิพิธภัณฑ์
ของที่ขายล้วนน่ารัก น่าซื้อทั้งนั้น























                                                                                                                                                         

สำหรับคนที่ชื่นชอบโตเกียวบานาน่า
ที่นี้จะมีรสชาติพิเศษที่ทำขาย
เฉพาะที่นี้ด้วย

เป็น โตเกียวบานาน่าลายเสือ รสช๊อกโกแลต
ผมว่ามันหวานๆไปหน่อยนะ                                                                                                        





คนญี่ปุ่น และนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ต่อแถวกันยาวเหยียด 
เพื่อขึ้นไปชมวิว เมืองโตเกียว
แต่ผมคงต้องขอถอนตัว เพราะคนเยอะมาก
บวกกับค่าขึ้นชมที่ค่อนข้างจะแพง 
2000 เยนสำหรับ ความสูง 350 เมตร   
(ไว้ผมจะพาไปชม วิวเมืองโตเกียว จากโตเกียวทาวเวอร์)
















                                                   

เดินจนมืดค่ำกันเลย
บริเวณรอบๆโตเกียวทาวเวอร์นี้ มีร้านอาหารเยอะแยะ
เหมาะแก่การนั่งชิวและ ชมแสงไฟจากโตเกียวสกายทรี

































                                                                                                                      

ผมยืนมอง หอคอยที่สูงที่สุดในโลกแห่งนี้ แล้วคิดว่า

หากมนุษย์ ยังคงแข่งกันสร้างตึกให้สูง และสูงแบบนี้ขึ้นไปเรื่อยๆ
อนาคต เราคงได้เห็น หอคอยที่สูงกว่า เมฆที่ลอยอยู่บนฟ้า
และพอถึงวันนั้น การได้เห็นท้องฟ้าจากพื้นดินคงกลายเป็นเรื่องยาก
เพราะมีแต่ตึกสูงๆบัง 'ท้องฟ้า' เต็มไปหมด





















                                                                        

ขอบคุณที่ติดตามชมนะครับ

--------   TIPS  --------

- ถ้านั่งรถไฟจาก asakusa ไป tokyo sky tree
 ให้นั่งสาย tobu skytree line นั่งไปแค่สถานีเดียวประมาณ 140 เยน

Wednesday, November 14, 2012

โคมใหญ่ ใจกลาง Asakusa

น้อยคนนักที่มาเที่ยวโตเกียว
แล้วไม่ได้มาเยือนวัดแห่งนี้
วัดดังย่านอาซาคุสะ
วัดเซ็นโทจิ

วัดเซ็นโทจิ หรือที่ใครๆก็เรียกว่า วัดอาซาคุสะ นั้น
เป็นวัดที่เก่าแก่และสำคัญแห่งหนึ่งในโตเกียว
ถูกสร้างตั้งแต่ปี ค.ศ.628-645
แต่เมื่อช่วงสงครามโลก วัดนี้ได้รับความเสียหาย
จากการถูกทิ้งระเบิด จึงมีการถูกสร้างขึ้นใหม่ในภายหลัง
จนกลายเป็นสัญลักษณ์ของการเกิดใหม่และความสงบสุข

โคมแดงขนาดยักษ์ ความสูงขนาด 4.5 เมตร
ถูกแขวนเด่นอยู่หน้าประตู ทางเข้าวัด
ประตูนี้มีชื่อว่า "คามินาริมง" (kaminorimon)
แปลเป็นไทยว่า "ประตูฟ้าคำราม"






















                                                                                                                                                                                                                          
ขณะที่เดินผ่าน ผมลองแหงนมองดู
ว่าใต้โคมยักษ์นี้ มันมีอะไรอยู่
ผมเจอมังกร!!
มังกรที่ทำขึ้นจากไม้ ถูกแกะสลักไว้อย่างประณีต
นี่อาจจะเป็นสาเหตุที่ประตูนี้ชื่อ คามินาริมง ก็ได้
(เพราะความเชื่อที่ว่าเมื่อมังกรคำราม
จะทำให้เกิดฟ้าแลบ ฟ้าร้อง)



เมื่อเดินผ่านประตูเข้ามาก็จะเจอกับถนน nakamise
ถนนนี้จะมีร้านค้าตั้งเรียงกันสองข้างทาง มีของขายมากมาย
ทั้งขนม ของฝาก ของที่ระลึก ผู้คนเดินซื้อของกันขวักไขว้
(ถ้ามาช่วงเทศกาลคนจะแน่นมากกก)






เมื่อเดินช้อปกันเพลินแล้วก็จะเจอกับประตูอีกชั้น 
ชื่อว่าประตู Hozomon พอผ่านประตูเข้าไปก็จะถึงภายในตัววัดแล้ว


กระถางธูปขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางลานวัด
เชื่อกันว่า หากกวักควันเข้าหาตัวแล้วจะโชคดี
ว่าแล้วก็ เอาสักหน่อย













                                               

เซียมซีสไตล์ญี่ปุ่นไม่ต่างจากบ้านเรานัก














                                               

ในวัดญี่ปุ่นแถบทุกที่จะมีเครื่องรางของขลัง ขายอยู่
บ้านเราจะเป็นพวกสร้อยพระ สายสินญ์
แต่ที่นี้จะเป็นลักษณะคล้ายถุงผ้า
เล็กๆน่ารัก เรียกว่า "omamori"

แต่ละอัน แต่ละสีก็จะมีความหมายแตกต่างกันไป
เช่น สีชมพูโชคดีเรื่องความรัก สีแดงเรื่องการประสบความสำเร็จ
สีทองเรื่องการเงิน สำหรับเด็กก็มีเครื่องรางขอให้สอบผ่านด้วย
(แต่ละอันราคาไม่ใช่เล่นเหมือนกัน ขอผ่านครับ)














                                               

ด้านในจะมีรูปปั้นพระแม่กวนอิมประดิษฐานอยู่

จากวัดนั้น จะสามารถมองเห็นโตเกียว สกายทรี 
สถานีต่อไปของเรา 

ตอนกลางคืนที่วัดนี้จะเปิดไฟด้วย
บรรยากาศสวยมาก
แนะนำให้มาเดินกันครับ








--------   TIPS  --------

- ของกินขึ้นชื่อของที่นี้ คือซาลาเปาทอด หรือ อาเงะมันจู(Agemanju)
  เป็นแป้งทอดมีไส้ด้านใน มีหลากหลายไส้ เช่น ถั่วแดง ชาเขียว ฟักทอง
- ขนมอีกอย่างที่ผมชอบ คือเซมเบ้ ขนมขบเคี้ยวคล้ายๆข้าวเกรียบ ทาหน้า
  ด้วยโชยุ และเอาไปบ่างบนเตาถ่าน ที่นี้มีให้ลองชิมสดๆด้วย