Thursday, March 6, 2014

ย้ายบ้านใหม่

ผมกำลังจะย้ายบล๊อกใหม่ไปบล๊อกนี้ครับ

ตั้งใจจะเป็นบล๊อกไว้อัพเดตการเดินทางของผม
และข้อมูลสำหรับการท่องเที่ยวแบบประหยัดสไตล์ backpacker นะครับ

สามารถเข้าไปพูดคุยกันได้ที่นี้ครับ


ขอบคุณทุกคนที่ติดตามในบล๊อกนี้นะครับ 
ใครย้ายตามไป ก็ไปทักทายกันได้

อีกเพจนึงที่ผมเปิดคือ 
page: time to step outside
เป็นเพจที่ผมจะรวบรวมแรงสิ่งที่เป็นแรงบันดาลใจในการเดินทาง
ให้ทุกคนได้ออกผจญในโลกกว้างกัน



การเดินทาง สนุกนะ
ถ้าไม่เชื่อลองดูสิครับ ^^

Friday, January 31, 2014

นักเดินทางรอบโลก ความฝันของผม



ไม่กี่วันมานี้ a day ประกาศรับสมัครนักเดินทางรอบโลกทางเฟซบุ๊ก

"รับสมัครนักเดินทางรอบโลก" แค่ชื่อการรับสมัครก็ทำให้ผมหัวใจเต้นแล้ว
เฮ้ยยย!! นี่มันความฝันผมนิ ผมไม่รอช้าที่จะเข้าไปอ่านรายละเอียดด้านใน

รับสมัครนักเดินทางรอบโลก

นิตยสาร a day สำนักงานสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคมแห่งชาติ (สกส.) และบริติช เคานซิล ร่วมกันทำรายการโทรทัศน์ '80 วันรอบโลก' จะออกอากาศทางไทยพีบีเอสในปี 2558 และ a day ฉบับ 80 วันรอบโลก เป็นเรื่องราวของการเดินทาง 80 วันรอบโลก เพื่อเรียนรู้การทำงานของกลุ่มคนที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์เปลี่ยนโลกผ่านนวัตกรรมทางสังคมและกิจการเพื่อสังคม ใน 24 ประเทศ

ทริปนี้เราเดินทางกันทั้งหมด 4 คน ประกอบไปด้วย พิธีกรและครีเอทีฟ (ทรงกลด บางยี่ขัน), ผู้กำกับ, ช่างภาพ และประสานงาน ซึ่งเราเว้นที่ว่างในตำแหน่งนี้ไว้ให้สำหรับคุณมาร่วมเดินทางกับเราโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ใครสนใจอ่านรายละเอียดการสมัครด้านล่างได้เลย

คุณสมบัติ
1. สนใจเรื่องกิจการเพื่อสังคมและนวัตกรรมเพื่อสังคม
2. มีทักษะด้านการสื่อสาร เขียนหนังสือ ถ่ายรูป หรือถ่ายวิดีโอ อย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้ามีทั้งหมดจะดีมาก
3. มีทักษะด้านการติดต่อประสานงานเป็นเยี่ยม
4. มีทักษะภาษาที่สื่อสารกับชาวต่างชาติได้สบายมาก
5. ชอบลุย พร้อมลำบาก ทำงานหนักตั้งแต่เช้ายันค่ำได้ กินง่าย อยู่ง่าย
6. เดินทางได้ช่วงมิถุนายน – สิงหาคม 2557
7. มนุษยสัมพันธ์ดี พูดคุยกับกล้องวิดีโอได้ไม่ตื่นเต้น
8. ไม่จำกัดเพศ อายุ การศึกษา อาชีพ

1 ในล้านกับโอกาสในครั้งนี้ 

ผมนั่งเชคคุณสมบัติว่าตัวเองพอจะเข้าเกณฑ์บ้างมั้ย

1. สนใจกิจการเพื่อสังคมมั้ย ผมว่าผมสนใจนะ (ไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองหรอกน่า) 
ผมอ่านบทความเกี่ยวกับธุรกิจเพื่อสังคมบ่อยๆละคิดว่ามันเจ๋งวะ อยากทำบ้างแม้ธุรกิจไอศครีมที่ผมทำยังไม่ได้เพื่อสังคมมาก แต่ก็มีบ้างที่หักรายได้ บริจาคให้กับเด็กๆพิการซ้ำซ้อน
2. ทักษะด้านการสื่อสาร เขียนหนังสือ ถ่ายรูป นี่ก็เป็นสิ่งที่ผมกำลังฝึกฝนอยู่
3.ทักษะด้านการประสานงาน ประสานงาแทนได้มั้ย คงไม่ยากเกินไปหรอกเนอะ
4. ภาษาอังกฤษเราก็งูๆปลาๆ ใช้ภาษามือแทนได้มั้ย
5. อันนี้ถ้าได้ไป ไม้ใช่ปัญหาเลยครับ ยอมกินแมลงเลยเอ้าา
6. ว่างครับผม
7. โดยส่วนตัวเป็นคนขี้อายนะ อาจจะตื่นเต้นบ้าง
8.เหมือนจะผ่านอยู่ข้อเดียว ฮาาา

สรุปแล้ว แม้ไม่ชัวกับการรับสมัครครั้งนี้ แต่โอกาสมันอยู่ตรงหน้าแล้ว
ถ้าเราไม่ลองก็คงไม่รู้ ไม่อยากมานั่งเสียดายที่หลังว่าทำไมกุไม่ส่งไปวะ

ลุยโลดดด


Monday, September 16, 2013

ย้อนอดีต

ขณะที่ผมกำลังอาบน้ำ ความคิดในหัว
หลั่งไหล ไปตามแรงฝักบัว

"ถ้าตัวเราย้อนอดีตไปได้ เราจะย้อนอดีตมั้ย
แล้วเราจะย้อนกลับไปในช่วงเวลาใด"


ผมใช้เวลาสักพัก ในการคิดทบทวน
กับคำถามๆนี้


ผมคิดว่าคนที่คิดคำถามนี้ อาจจะไม่ค่อยพอใจ
กับปัจจุบันที่เป็นอยู่มากสักเท่าไร
เลยอยากย้อนเวลากลับแก้ไขมัน

หลายๆคนชอบพูดว่า "รู้งี้ " "รู้งั้น"
กุทำแบบนั้นไปแล้ว
กุเลือกแบบนั้นไปแล้ว

เพราะไม่รู้อนาคตนะสิ
เราเลยไม่รู้ว่าสิ่งที่เราทำอยู่นั้น
จะมุ่งสู่ประตูบานไหน

อดีตที่ผ่านมา ทำให้เราเป็นเราในปัจจุบัน
หากย้อนอดีตไปแก้ไขได้ ก็คงไม่มีอะไรที่จะการันตีได้ว่า
ชีวิตเราจะดีขึ้น กว่าตอนนี้

อดีตที่ย่ำแย่ อาจจะมีอนาคตที่สดใส
อดีตที่สบาย อาจจะมีอนาคตที่ลำบาก

อย่าไปโทษตัวเองในอดีตเลย ที่ทำให้เราเป็นแบบนี้
แต่โทษตัวเองในปัจจุบันดีกว่า
ที่ไม่ทำให้ชีวิตในตอนนี้
มันดีกว่าเดิม....






Thursday, July 11, 2013



หนึ่งคน...หนึ่งความฝัน 
ไม่ว่ามันคืออะไร 
หากเรายังคงเก็บมันไว้ในใจ 
ความเป็นจริงจะเจ็บปวดแค่ไหน
สิ่งที่ทําให้มันผ่านพ้นไปได้ 
คือการรอคอย
ที่แม้มัน...อาจไม่มีวันเป็นจริง

จากเพลง "ฝันส่วนตัว"
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ส่วนตัวผมก็ยังคงรอคอย ในวันที่ ความฝันและความจริง  เป็นสิ่งเดียวกัน

Friday, May 3, 2013

ขอโทษที่หายไปนาน

ขอโทษที่หายไปนานนะครับ
ไม่ได้อัพเดตเลย
ช่วงนี้ชีวิตค่อนข้างยุ่งไปสักหน่อย
แถมคอมที่มีไฟล์รูปอยู่ก็มีปัญหา
จะพยายามแบ่งเวลาส่วนนึงมา
อัพเดตต่อนะครับ

เปิดเข้ามาเห็น page view อัพไปถึงหมื่นก็ดีใจ
ที่ยังมีใครมาคอยอ่านเรื่องราวของเรา

ยังไงก็จะพยายามอัพเรื่อยๆนะครับ

ขอบคุณที่คอยอ่านกันนะครับ :)

Sunday, January 20, 2013

antenna cafe จุดเริ่มต้นของมิตรภาพเล็กๆ

เมื่อเรือเฟอรี่ค่อยๆ เทียบท่า
ก็ถึงเวลาที่ผมต้องลงจากเรือแล้ว
ผมมองหาตู้โทรศัพท์เพื่อติดต่อโฮสต์เป็นอันดับแรก
โชคดีที่มันอยูู่ใกล้ๆ
โชคร้ายที่โทรไป แล้วดันฝากข้อความ
เสียฟรีไป 20 เยน

ผมโทรไปอีกครั้งด้วยความตื่นเต้น
"โมชิ โมชิ" โฮสต์รับสาย
ผมแนะนำตัว และบอกว่าได้มาถึงแล้ว
ด้วยความอ่อนด้อยทางภาษาอังกฤษ
ทำให้ผมจับใจความได้แค่ว่า
รออยู่นั้นละ เดี๋ยวไปรับ - -"














 

ต้องขอบคุณเจ้าตู้นี้ ที่ทำให้ผมรู้ว่า
  โทรศัพท์สาธารณะยังมีประโยชน์อยู่  




















                                                             



                                                                     
ผมเดินถ่ายรูปเล่นสักพัก
ไม่นานนัก ก็มีรถจี๊บ สีขาวขับตรงเข้ามา
กระจกรถค่อยๆเลื่อนลง
หน้าตาคุ้นๆ โฮสต์ผมนั้นเอง !!

(นี่คืออีกสิ่งสำคัญในการเลือกโฮสต์ ควรจะเลือกคนที่โพสต์รูปตัวเอง
สถานที่พัก บรรยากาศการทำงานไว้ด้วย จะทำให้เรารู้จักหน้าตาก่อนเจอตัวจริง)

ผมยัดเป้ใส่ท้ายรถ
ในรถมีเพื่อนที่เป็น wwoofer ด้วยกันอีก 2 คน 
ขณะที่รถกำลังเคลื่อนไป
เราเริ่มทำความรู้จักกัน

โฮสต์ผม เธอชื่อหลุยซัง (ซัง หมายความ คุณ ใช้เรียกคนที่อายุเยอะกว่า)
เป็นสาวจากโตเกียว ที่หนีความวุ่นวาย
มาเปิดร้านกาแฟที่เกาะเล็กๆแห่งนี้
เธอเล่าให้ฟังว่า ตอนเด็กๆ เธอเคยลงเรียนวิชาภาษาไทยด้วย
ตอนนี้ลืมไปหมดแล้ว จำได้แค่ "สวัสดีค่ะ" "ขอบคุณค่ะ"

wwoofer คนแรกเป็นผู้ชาย ผิวคล้ำออกไปทางดำ
มาจากอเมริกา ชื่อ แบรนดอน (brandon)
แบรนดอนอายุน้อยกว่าผมไม่กี่ปี กำลังเรียนอยู่มหาวิทยาลัย
สนใจประเทศญี่ปุ่น และมีแพลนว่าจะไปwwoof ในหลายๆทีของโตเกียว

wwoofer อีกคนชื่อ คานะซัง เป็นคนญี่ปุ่น บ้านเกิดอยู่เกียวโต
กำลังตัดสินใจย้ายมาอยู่เกาะนี้ เพราะอากาศดีกว่าในเมืองมาก

ส่วนผมเป็นคนไทย ที่พูดญี่ปุ่นก็ไม่ได้ ภาษาอังกฤษก็ไม่คล่อง
มีแต่ใจที่รักการเดินทางเท่านั้น ฮิ้วว

หลุยซัง ขับรถวนชมวิว ให้คานะซังลงไปถ่ายรูป
ผมเลยถือโอกาส ลงไปถ่ายบ้าง


แอบถ่ายคานะซังจากด้านหลัง













                                               















                                             
ผมรู้สึกว่า ถ้าถ่ายจากมุมสูงจะสวยกว่านี้
วิวตรงนี้มันโล่งมาก

จากที่ชื่นชมวิวจนหน่ำใจ หลุยซังก็ขับพามายังร้าน antenna
ร้านกาแฟเล็กๆ ที่นับจากนี้อีก 9 วันผมจะต้องทำงานอยู่ที่นี้

















antenna เป็นร้านขายของที่ระลึก มีขนม ผลิตภัณฑ์ของเกาะนี้
รวมไปถึงจากประเทศแถบยุโรปด้วย และเป็นคาเฟ่เล็กๆที่ให้คนแถบนี้
มากินขนมปังและจิบกาแฟยามบ่าย ร้านเปิดบ่ายโมง และปิด 1 ทุ่ม

มาถึงก็เริ่มงานทันที
คิดในใจ นี่จะไม่ให้(กู)พักเลยหรือไง เดินทางจากโตเกียว
ตั้งแต่เมื่อวานมาเลยนะ - -*

แบรนดอน ทำหน้าที่สอนงานให้ เพราะ เขาอยู่ที่นี้มาเป็นเดือนแล้ว
ก่อนเปิดร้าน ก็ไม่มีอะไรมาก รดน้ำต้นไม้ กวาดหยากไย่ กวาดพื้น ถูพื้น ทิ้งขยะ
อืมม ไม่มีอะไรมาก..

เมื่อลูกค้าเข้ามาร้าน เราต้องรีบเสิร์ฟน้ำเปล่า ก่อนเป็นอันดับแรก
แล้วเอากระดาษจด ไปรับออร์เดอร์

ด้วยความที่ฟังภาษาญี่ปุ่นไม่ได้ เลยต้องขอบายหน้าที่นี้

(แนะนำว่าถ้าคุณมา wwoof และจะทำงานในร้านคาเฟ่ ควรจะมีทักษะในการพูด
 และฟังนิดนึง  หรือพกหนังสือสอนภาษาญี่ปุ่นมาอ่านด้วย จะได้ประโยชน์มากๆ)

ช่วงพักกลางวัน อาหารมื้อแรกที่ตกถึงท้อง เป็นขนมปังกับแยม และมะเขือเทศ
o_O" บ้านเขากินกันแค่นี้หรอ นี่มื้อกลางวันนะเนี่ยยย
ฝืนใจกินจนหมด รวมถึงมะเขือเทศที่ไม่ชอบด้วย

ผมหยิบข้าวแต๋น และทุเรียนกรอบออกจากกระเป๋า
แบ่งให้โฮสท์และเพื่อนวูฟทานกัน
คานะซังติดใจข้าวแต๋นมาก ส่วนแบรนดอนบอกว่าไม่เคยเห็นทุเรียนมาก่อน
ไม่รู้หน้าตาเป็นยังไง ผมเล่าสรรพคุณของมันให้ฟังว่า
บางคนบอกว่า มันเหม็นเหมือนขี้ และสนามบินห้ามนำทุเรียนขึ้นด้วย
แบรนดอนฮา บอกว่าเขาจินตนาการไม่ออกเลย
ถ้ามาไทย ทุเรียนคือสิ่งแรกที่เขาอยากลองทาน

หมดเวลาพัก ก็ได้เวลาทำงาน
วันนี้ลูกค้าค่อนข้างน้อย
เขาก็พยายามให้ผมเก็บนู้น กวาดนี้

ผมรู้สึกค่อนข้างเกร็ง
เวลาต้องมาอยู่คนเดียวกับคนแปลกหน้า
ที่สื่อสารกันคนละภาษา แต่มันสนุกตรงที่ได้เรียนรู้ระหว่างกันนี่ละ
จากคนไม่รู้จัก ก็จะเปลี่ยนมาทักกัน โดนไม่เขินอาย

ตกเย็นของวันนั้น ที่ร้านมีฉายหนัง เปิดผ่านโปรเจกเตอร์
มีกลุ่มคนเล็กๆ มานั่งชม ผมว่าคงเป็นคนรู้จักของหลุยซังนี่ละ

หนังที่ฉายเป็นเรื่องราวของชาวติมอร์ตะวันออก
ที่พยายามลุกขึ้นต่อสู้ เพื่อแยกตัวเป็นอิสรภาพจากประเทศอินโดนีเซีย
เรื่องมันเศร้าตรงที่ว่า รัฐบาลญี่ปุ่นเองกลับสนับสนุนอาวุธฝ่าย
อินโดนีเซีย เพื่อต่อต้านการเรียกร้องอิสรภาพในครั้งนี้
บางคนดูถึงกับน้ำตาซึม
แต่ผมดูถึงกลับง่วงซึม
เพราะมันเป็น subtiltle ภาษาญี่ปุ่น
ดูไปง่วงไป - -
(ขอบคุณ คานะซังที่แปลให้ฟังทีหลัง)

มีพี่คนคนนึงติสต์มาก ด้วยความซาบซึ้ง
เขาหยิบกีต้าร์ขึ้นมา ร้องเพลงคิดเนื้อกันสดๆ
เพลงที่สื่อถึงความเสียใจกับ คนที่จากไป
และให้กำลังใจกับคนที่ยังมีชีวิตอยู่

บรรยากาศเศร้า ปนความอบอุ่น

ผมรู้สึกได้ถึง มิตรภาพเล็กๆ ที่ก่อตัวขึ้น..



Friday, January 18, 2013

ระหว่างทางไป wwoof

31 ส.ค. 2555  20:00 น.  ณ shinjuku willer express bus





















                                                                

ผมกำลังนั่งใจจดใจจอ รอขึ้นรถบัส เพื่อเดินทางไปยังจังหวัดฮิโรชิม่า
อีกประมาณ 10 นาทีเขาคงจะเรียกผม ให้ไปเข้าแถว
แต่ผมคงฟังไม่ออกหรอก
อาศัยเดินตามๆเขาไป...

ผ่านมาอาทิตย์นึงแล้วสินะ
ที่ผมได้มาอยู่ที่ญี่ปุ่น
เมืองที่ผมใฝ่ฝันว่าอยากจะมาเยือนอีกสักครั้ง
ครั้งนี้ต้องขอบคุณน้องสาวผมมาก
ที่พาผมไปนู้นไปนี้
แถมเลี้ยงข้าวผมอีกต่างหาก
แต่นับจากนี้ ผมคงต้องเดินทางคนเดียวแล้ว
(จ่ายตังค์เองอีกต่างหาก TT TT" )

ผมรู้สึกหวั่นๆกับการไป wwoof ยังไงก็ไม่รู้
อาจจะเพราะผมต้องเดินทางคนเดียว
ในประเทศที่ผมไม่เข้าใจภาษา

มีคนแนะนำให้ผมใช้วุ้นแปลภาษาของโดเรมอน
เผื่อจะช่วยให้คุยกับคนญี่ปุ่นรู้เรื่องได้บ้าง


10 นาทีผ่านไป ผมค่อยๆ เดินตามเขาขึ้นไปบนรถ
รถบัส บ้านเขาก็ไม่ต่างจากบ้านเราเท่าไร
แต่ที่นี้ถ้าเป็นรถที่วิ่งกลางคืนจะมีม่านสีดำ
ปิดทั้งคันรถ เพื่อไม่ให้แสงข้างนอกรอดเข้ามา

เดินมายังไม่ทันจะหย่อนตูดถึงเบาะ คนข้างๆที่นั่งผมก็ทักทาย
ถามว่ามาจากไหน
 " Thailand "
ผมตอบไปด้วยความภาคภูมิใจในความเป็นไทย

" สวัสดีครับ มาเที่ยวญี่ปุ่นหรอครับ "
เฮ้ย เขาพูดไทยได้
ผมคิดในใจสงสัยจะกินวุ้นแปลภาษามาแน่ๆ

แต่คุยไปคุยมา เขาพูดไทยได้คล่องมากๆ
เขาบอกว่า เขาไปเมืองไทยบ่อย ปีละ 3-4 ครั้ง
เกือบ 10 ปีแล้ว โอ้วว
ผมรู้สึกอุ่นใจทันที ที่มีคนเข้าใจภาษาไทย

จากโตเกียว ถึงฮิโรชิม่า
ระยะทางพอๆกับ นั่งรถจากกรุงเทพ ไป ภูเก็ต

รถถึงสถานีฮิโรชิม่า 7.30น. เป๊ะๆ
ญี่ปุ่นนี้เขาตรงเวลาจริงๆ

การเดินทางเกือบ 10 ชม.ของผมยังไม่จบ
มันต้องนั่งรถบัสไปอีกชั่วโมง และนั่งเรือข้ามฝากต่อไปอีก
เลือกโฮสต์ซะไกล ก็ต้องไปให้ถึงละ

เมื่อลงจากรถ หรือไปยังที่ใหม่ๆ
คำที่ผมมักอุทานในใจ คือ
" กุจะไปทางไหนต่อดีวะ "
เพราะไม่รู้จะเดินต่อไปทางไหนจริงๆ
รู้สึกสับสน วุ่นวายแล้วตื้นเต้นไปหมด

แต่เมื่อรวบรวมสติได้ ป้ายกับแผนที่เป็นสิ่งสำคัญที่สุด

(ควรจะศึกษาเส้นทางดีๆ ว่าควรเดินไปทางไหน
และรถที่จะขึ้นจอดอยู่ป้ายไหน)


ผมใช้เวลาไม่นานนักก็เจอป้าย ตามที่จดไว้
เผื่อความแน่ใจ ผมก็เลยถามลุงกับป้าที่นั่งอยู่
ป้าพอพูดภาษาอังกฤษได้ เลยบอกผมว่า
เขาไปทางเดียวกัน แต่เขาจะลงก่อน
ผมต้องไปต่อ แค่นี้ผมก็ใจชื่นแล้ว





















                                               

นั่งไปสักพัก ป้าก็ยื่นกล่องข้าวมาให้
ในนั้นมี ข้าวปั้น 1 ก้อน ไข่ต้มครึ่งฟอง
บ๊วยดอง และขิงดอง

ไอ้ 2 อย่างแรกนั้นโอเคอยู่ แต่ 2 อย่างหลังนี่
ปกติผมจะไม่แตะมันด้วยซ้ำ
แต่ผมก็กินหมดด้วยความซาบซึ้งในน้ำใจ

ผมรู้สึกว่า ' มันอร่อยกว่าปกติ '

เมื่อถึงสถานีที่ลุงกับป้าต้องลง
เราโบกมือลา ผมโค้งคำนับ

รถบัสยังคงวิ่งต่อไป..

ไม่นานนักก็ถึงท่าเรือ
ผมรีบซื้อตั๋วแล้ววิ่งขึ้นเรือทันที



































                                

ไม่รู้ว่าถึงฝั่งแล้วผมจะต้องเจอกับสถานการณ์แบบไหน
โฮสต์จะเป็นยังไง ผมจะได้ทำงานแบบไหน
แต่ผมเชื่อว่า 'ความสนุก' รอผมอยู่





















--------   TIPS  --------

- ผมเลือกใช้บริการของ willer bus เพราะมันถูกกว่านั่งรถไฟ ลองเข้าไปหาข้อมูลได้ที่
http://willerexpress.com/st/3/en/pc/buspass/index.php

- จะมีราคาบัตรเหมา 3 วัน 10000 yen แนะนำให้วางแผนการเดินทางไปพร้อมกับการเลือกโฮสต์

- หากต้องการมายังเกาะ oosakikamijima หรือโฮสต์เดียวกับผม จากสถานีฮิโรชิม่า
ให้นั่งรถบัสชื่อ kaguya himego ที่ ชานชาลา C หมายเลข 12 มาลงยัง takehara port



ขอให้สนุกกับการเดินทางครับ






























Monday, January 7, 2013

กลับมาสู่โลกใบเดิม

"กลับมาสู่โลกใบเดิม"

ผมได้กลับมาสู่(ทาง)โลกอีกครั้ง
ฟังดูอาจเหมือนว่า
ผมนั่งยานอวกาศออกไปนอกโลกมา
แต่ทว่า เป็นทางธรรมมาสู่ทางโลกนั้นเอง

1 เดือนที่ผ่านมา
ผมไปอาศัยอยู่ใต้ชายผ้ากาสาวพัสตร์
ไปเป็นผู้ออกบวชจากเรือน
เพื่อทดแทนคุณบิดามารดา
เพื่อเรียนรู้ธรรมะ
และไปเรียนรู้ชีวิตของพระ
ว่าเขากิน อยู่ หลับ นอน กันยังไง
และทำอย่างไร ทำไมการเป็นพระ
ถึงเป็นวิถีที่จะหลุดพ้นจากกิเลส
ได้ดีที่สุด

1 เดือนนี้บางคนอาจจะคิดว่ามาก
บางคนอาจจะคิดว่าน้อยสำหรับการเป็นพระ
แต่ 1 เดือนนี้ มันก็ทำให้ผมหันมาสนใจพระพุทธศาสนา
ได้มากขึ้นเหมือนกัน

บวชวันแรก
ผมรู้สึกตื่นเต้น เหมือนเข้าโรงเรียนใหม่
ต่างสถานที่ ต่างการใช้ชีวิต ต่างสังคม
ทำให้ผมต้องเรียนรู้อะไรใหม่หมด
เริ่มตั้งแต่การนุ่งสบง และห่มจีวร

มันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด
ใส่สบงวันแรก
ก็รู้กันอยู่ว่าพระ เขาห้ามใส่กางเกงใน
ผมก็เกรงว่า ผ้ามันจะหลุด
กลัวน้องชายจะออกมาทักทายโลกภายนอก
เลยต้องใส่ ผูกให้แน่นจนพุงปลิ้นเลย

ที่ยากกว่านั้นคือจีวร ผ้าผืนใหญ่เอามาห่มกาย
ม้วนมันเข้าไปจนเมื่อยมือ
ใช้เวลาเป็นอาทิตย์กว่าจะใส่คล่อง

ถ้าไม่นับความลำบากในการใส่แล้ว
ผมชอบที่มันแห้งเร็วมากก
ตากแปปเดียวก็แห้งแล้ว

พระไม่ต้องซื้อของมาฉัน
ไม่ต้องลงมือทำกับข้าวเอง
แต่ต้องเดินบิณฑบาตร
  
นี่ละสิ่งที่ฝึกสติและดูอารมณ์ของเรา ได้เป็นอย่างดี
เวลาบิณฑบาตรนั้น พระเขาห้ามสวมรองเท้า
เลยมีโอกาสเหยียบหิน เหยียบตะปู รวมถึงขี้หมาได้
ถ้าเราไม่ระวัง ไม่มีสติ เราจึงต้องคอยก้มมองต่ำ
จับจ้องทุกย่างก้าว ว่าพื้นนั้นมีอะไรมั้ย จะเหยียบโดนอะไรรึป่าว

ข้อห้ามหลายอย่างของพระ
ที่พระใหม่ๆคอยทำผิดบ่อยๆ
ก็คือ

พระห้ามยืนฉันน้ำ
ลืมตัวกันประจำเลยข้อนี้ ผมว่าก็ดีนะมันเลยเป็นการฝึกสติเรา
ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่

อีกอย่างก็คือ พระห้ามยืนฉี่
ปกติผู้ชายเราก็ยืนฉี่กันประจำ ต้องนั่งลงฉี่เหมือนผู้หญิงแรกๆก็ไม่ชินเหมือนกัน

พระฉันแล้ว จะลุกไปไหนไม่ได้ ถ้าลุกก็ห้ามกลับมาฉันอีก

ผู้หญิงประเคนของห้ามรับจากมือ ต้องหาอะไรมารองรับ

มีอีกหลายกฏ หลายข้อห้ามที่ผมได้เรียนรู้
ว่าการเป็นพระ มันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด

มีอย่างนึงที่ผมรู้สึกตอนเป็นพระ ก็คือ
เออ สบายดีนะ ชีวิตที่อยู่กับปัจจุบัน
ไม่ต้องคิดถึงอดีต ไม่ต้องกังวลกับอนาคต
ดีซะจริงๆ

ตอนนี้ออกมาจากชีวิตแบบนั้นแล้ว
ผมก็ยังไม่แน่ใจกับอนาคตของผมอยู่เหมือนเคย
แต่ต่อจากนี้ผมจะพยายามเป็นคนที่มีสติในทุกการกระทำ
เรียนรู้อารมณ์ และระงับความรู้สึกที่บั่นทอนเราให้ได้
.
.
.
.
.

ไว้ผมจะกลับมาเล่า สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากการเป็นพระอีก

และจะถยอยเล่าเรื่องที่ผมไป wwoof ที่ญี่ปุ่นมา ให้จบ

(หวังว่าจะคอยตามอ่านกันนะครับ :P )





Friday, November 30, 2012

ผม ไม่มี ผม

ผมกำลังจะ ไม่มีผม
เพราะอีก 2 วันข้างหน้า
ผมก็จะไม่อยู่แล้ว เพราะ

"ผมกำลังจะบวชครับ"

ใช่ครับ บวช ผมของผม
คงโดนโกนเกลี้ยงเป็นแน่แท้

ผมวางแผนเรื่องนี้ไว้ค่อนข้างนานแล้ว
แต่ก็ไม่มีโอกาสเสียที ตั้งใจว่า กลางปี
แต่เลื่อนมาเป็น เดือนสุดท้ายของปี
เพราะหนีไปเที่ยวญี่ปุ่นเสียก่อน

หลังจากกลับมา ก็คิดอยู่สักพัก
ว่าจะบวชวัดไหนดี
อยากได้วัดที่ค่อนข้างเคร่ง
เพราะอยากบวชเพื่อศึกษาธรรมะ
และปฏิบัติอย่างจริงจัง

มองๆไว้อยากบวชไกลๆในต่างจังหวัด
แต่พ่ออยากให้บวชใกล้ๆ
จะได้ทำบุญตักบาตร

ดูไปดูมา
จนมาลงเอยที่วัดพระราม 9
ตามคำแนะนำของพ่อ

แต่ผมก็ยังไม่วายที่จะขอหนีไปจำวัด
ที่เขาใหญ่ ณ วัดมกุฏคีรีวัน
ในอีก 1 อาทิตย์หลังจากบวช

มันคงเป็นอีกหนึ่งการเดินทางของผม
ที่แตกต่างไปจากการเดินทางอื่นๆ

คงได้ทำ ในสิ่งที่ไม่เคยทำ
และไม่ได้ทำ ในสิ่งที่เคยทำ

ผมอยากให้การบวชในครั้งนี้
ทำให้ผมได้เข้าใจในตัวเองมากขึ้น
และเข้าใจธรรมชาติของโลกมากยิ่งขึ้น

ผมคงใช้เวลาในการบวชอย่างน้อย
1 เดือนตามที่ตั้งใจไว้
แต่ถ้าติดใจอาจจะขอเพิ่มอีก ก็เป็นได้

หลายคนถามคำถามนี้กับผม ว่า
"หลังจากบวชเสร็จจะทำอะไรต่อ"
รวมทั้งตัวผมเอง

แต่แล้ว ก็ยังไม่มีคำตอบ..ให้กับคำถามนี้ แต่อย่างใด
ไม่ใช่ไม่คิด
แต่มันคิดไม่ออก
เพราะมันเป็นเรื่องของอนาคตละมั้ง

อีก 1 เดือนกว่าคุณคงได้เจอ
ผมคนใหม่ ในอนาคต และ
ผมเส้นใหม่ บนกบาลใบเดิม
.
.
.
.
.
.

"ผมคิดถึงตัวเองตอนไม่มีผม
มันคงจะแปลกตาดี
แล้วถ้าคุณไม่มีผมละ
จะรู้สึกแปลกมั้ย? "




กลับมาตั้งใจว่าจะเริ่มต้นการอัพบล๊อก เกี่ยวกับการไป wwoof แน่นอนครับ


ตามล่าหาฟูจิซัง ตอนที่ 3 Kawaguji lake

วันนี้เรารีบตื่นกันแต่เช้าเพื่อcheck out
และเดินไปยัง ทะเลสาปคาวากุจิ

วันนี้เรามีเวลาเพียงแค่ครึ่งวันเท่านั้น
เพราะน้องต้องทำงานในช่วงเย็น
ถ้าเดินเล่นเพลินคงต้องตกรถแน่ๆ

(รถขากลับ ต้องแจ้งเวลาตั้งแต่ซื้อตั๋วเลยว่าเราจะกลับกี่โมง) 















                                               

ทะเลสาปคาวากุจิ มีแหล่งท่องเที่ยวให้เดินเล่น เดินชมค่อนข้างมาก
หากมีเวลาสามารเดินเล่นได้ทั้งวันเลย
แต่ดูจากตารางเวลาของผมแล้ว
ผมเลยเลือกที่จะขึ้นกระเช้าไปชมฟูจิซังและ
เดินเล่นใกล้ๆแทน













































                                                                                                                                                                                                                                                                                        
ก่อนเดินขึ้นไปนั่งกระเช้า จะพบร้านคุ้กกี้น่ารักๆ
ชื่อว่า Fujiyama cookie โดยร้านนี้จะมีเอกลักษณ์ตรงที่
คุ้กกี้จะทำออกมาหน้าตาคล้ายๆฟูจิซัง
น่าซื้อกลับมาฝากจริงๆ

แต่เสียดายที่วันหมดอายุของมัน เร็วกว่าเวลาที่ผมจะเดินทางกลับ

ผมกับน้องเลยชิมมันซะทุกรสเลย..แต่ไม่ได้ซื้อ ^^














                                               

ตั๋วขึ้นกระเช้า เราสามารถใช้ pass เป็นส่วนลดได้














                                              

รอสักพักคนก็ทยอยมาขึ้นกระเช้า
พ่อแม่พาลูกๆมาเที่ยวเต็มไปหมด
ผมสงสัย นี่มันเปิดเทอมแล้วไม่ใช่หรออ































                                               

ด้านบนจะเป็นลานกว้างๆ ให้เราสามารถเห็นฟูจิซังได้ชัด














                                               

แต่ทว่า เมฆจากไหนมาบังยอดฟูจิซัง อีกแล้วเนี่ยย
ท้องฟ้าออกตั้งกว้าง ไปกระจุกทำไมอยู่แค่ตรงนั้น
เหมือนเมฆมันจงใจแกล้งเราชัดๆ

ดูพี่กระต่ายยังนั่งหน้าเซงเลย















                                                
หามุมถ่ายไปเรื่อยๆ ระหว่างรอว่า เมฆมันจะเคลื่อนไปมั้ย















                                               

เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ แต่เมฆไม่ยักกะเคลื่อนที่ไปไหน
คงเป็นเราที่ต้องเป็นฝ่ายไปแทน

เรานั่งกระเช้ากลับลงมาและเลือกที่จะเดินดูร้านขายของที่ระลึก
แถวนั้น

คาแรกเตอร์ฟูจิซัง บนห่อขนมน่ารักดี





















                                                                          

หน้าตาของรถบัสที่พาเราไปยังแหล่งท่องเที่ยว
รอบๆทะเลสาบคาวากูจิ















                                               
เดินถ่ายรูปเรื่อยเปื่อยก่อนกลับ

































                                               
หากใครมีโอกาสได้มาญี่ปุ่น 
ผมแนะนำว่าให้ลองมาชมฟูจิซังด้วยตาตัวเองสักครั้ง
แล้วจะหลงรักภูเขาไฟที่ถือว่า
เป็นหนึ่งในภูเขาที่สวยที่สุดในโลกแห่งนี้

ถ้ามีโอกาส ผมว่าจะกลับมาถ่ายรูป ตอนมันมีหิมะอยู่บนยอด
น่าจะสวยกว่านี้  และที่สำคัญเมฆต้องไม่บังด้วย - -"





















                                                                                                                                     

ขอร่ำลาไปด้วยภาพวิว ขณะนั่งรถกลับ
รู้สึกชอบวิวชนบทของญี่ปุ่นจริงๆ















                                               

--------   TIPS  --------
 
ตั๋วขึ้นกระเช้า เราสามารถใช้ pass เป็นส่วนลดได้ 
มันมีหลาย package ให้เลือกด้วย
 

Thursday, November 22, 2012

ตามล่าหาฟูจิซัง ตอนที่ 2 yamanaka lake


เช้าวันนี้เราตื่นมา อยู่กันที่จังหวัดยะมะนะชิ (yamanashi)
ที่ตั้งของภูเขาไฟฟูจิและทะเลสาบทั้ง 5
ที่หลายเวบแนะนะว่า เห็นวิวภูเขาไฟฟูจิได้สวยมากกก

ทะเลสาบทั้ง 5 เกิดจากลาวาที่ไหลลงมาจากภูเขาไฟฟูจิ
เมื่อลาวาเย็นลง จึงยุบตัวเกิดกลายเป็นแอ่ง
พอหิมะบนยอดเขาละลาย จึงกลายเป็นทะเลสาบจนถึงปัจจุบัน
(เรื่องมันยาวจริงๆ)

Yamanakako (ทะเลสาบยามานากะ)
เป็นทะลสาบที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาทะลสาปทั้ง 5
สามารถเห็นวิวฟูจิซังสะท้อนน้ำสวยมาก
(ถ้าโชคดีอ่านะ - -*)

Kawagujiko (ทะเลสาบคาวากุจิ)
เป็นทะเลสาบยอดนิยมของนักเที่ยว สามารถนั่งกระเช้าขึ้นไปชมวิว
ฟูจิซังได้ด้วย

Saiko (ทะลสาบไซ)
อยู่ติดกับ ทะลสาบคาวากุจิ จะเน้นสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติ

Shojiko (ทะลสาบโชจิ)
เป็นทะเลสาปที่เล็กที่สุดในบรรดาทะลสาบทั้ง5

Motosuko (ทะลสาบโมโตซุ)
เป็นทะลสาบที่ลึกเป็นอันดับ 9 ของญี่ปุ่น มีความสำคัญตรงที่วิวทะเลสาบนี้
สวยจนนำไปพิมพ์บนแบงค์พันเยน

File:1000 Yen from Back.jpg


ผมเดินออกมาจากที่พักไม่ไกลนัก
ก็ตกใจที่เห็นฟูจิซัง อยู่หลังสถานี แค่นี้เอง














                                               

ผมคิดในใจว่า
ถ้าภูเขาไฟฟูจิอยู่หลังบ้านเราแบบนี้
เราจะตื่นเต้นกับมันมั้ย
เราจะมองมันทุกวันรึเปล่า
หรือก็แค่ภูเขาธรรมดา

มันอาจจะเหมือนกับชื่อเพลงพี่เป้ ที่ว่า

"สิ่งที่สวยงามมักอยู่ไกลออกไป"

เราเลยเดินทางไกลมาดูภูเขาไฟ ถึงญี่ปุ่น

มาดู ในสิ่งที่บ้านเราไม่มีให้เห็น
มากิน ในสิ่งที่บ้านเราไม่มีให้ชิม
ไม่ว่ายังไง
สิ่งที่ได้กลับไปมันก็คือ ประสบการณ์

(สวยแบบนี้ ผมคงมองทุกวันละครับ ^^
ใน instagram ของ phantastic420
เขาก็คอยตามถ่ายฟูจิซังทุกวัน )

ขณะที่ผมยืนรอรถบัส
ก็เห็นบางกลุ่มที่กำลังจะไปปีนภูเขาไฟฟูจิ
ช่วงเดือนกรกฏา-สิงหา เป็นฤดูกาลปีนเขาพอดี

บางคนอยากไปสัมผัสใกล้ๆ
แต่ผมแค่มองไกลๆก็พอ
  
..พอดีไม่ได้เตรียมตัว เตรียมตังค์มาอ่านะ..55

ไม่เป็นไรวันนี้ผมจะพาไปชม ฟูจิซังที่ทะเลสาปยามานากะ  (yamanaka lake)














                                               

นั่งรถบัสมาลงยังป้าย Asahigaoka
เดินทะลุมาหน่อย ก็จะเจอกับวิวนี้เลย















                                               

มันช่างสวยอย่างที่เขาร่ำลือกันจริงๆ















                                               

ใครก็ได้เอาเมฆออกไปที่สิ - -*














                                               

 ตกปลาไป ชมฟูจิซังไป ชิวน่าดู















                                               

ขอลองขาวดำมั่ง















                                               

ระหว่างที่ถ่ายรูปจนอื่มใจ คราวนี้ก็ต้องเดินกลับไปยังย่านชุมชน
แดดตอนบ่าย มันช่างร้อนเสียนี้
ผมกับน้องเลยจะลองโบกรถคนญี่ปุ่นดู
เห็นในหนังสือเขาโบกได้
.
.
.
.
ผ่านไปเป็นสิบคัน ก็ยังไม่จอด
เลยตัดสินใจเดินกลับกันเอง

สามารถนั่งเรือน้องหงษ์ ชมวิวได้นะ














                                               

มิ้อนี้ฝากท้องเซเว่นเช่นเดิม
ขณะนั่งกินข้าวกล่อง ก็เหลือบไปเห็นคนกำลังเล่นฟลายบอร์ด (Fly board)
ว้าวโคตรเท่ คล้ายๆกับไอรอนแมนเลย






 
คลิปนี้เป็นคลิปโปรโมทเจ้าเครื่องฟลายบอร์ด 

 

เมื่อกินเสร็จจึงเดินเล่นสักพัก
ละตัดสินใจว่าจะลองไปเดินเล่นที่
ทะเลสาบคาวากุจิ ในตอนเย็นกัน

ระหว่างทางก็สะดุดตากับป้ายประจำทาง
ชื่อคุ้นๆ เหมือนเป็นแหล่งท่องเที่ยว
เลยขอลงก่อน

เลยเจอกับศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้เข้า
 "ศาลเจ้าฟูจิเซ็นเก็น"

ศาลเจ้าฟูจิเซ็นเก็น (fuji sengen shrine) เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น 
ตั้งอยู่ระหว่างทางทะเลสาบยามานากะและทะเลสาบคาวากุจิ
มีประวัติความเป็นมาอันยาวนานตั้งแต่สมัยจักรพรรดิเคโคะ สร้างขึ้นเมื่อปี 802
ต้นไม้ที่นี้มีขนาดสูงมากก เพราะอายุของมันนับร้อยๆ พันๆ ปี
(เพิ่งมารู้ที่หลังว่าสำคัญขนาดนี้ แหะๆ)

















                                              

ป้ายหน้าห้องน้ำ ยุคเอโดะ 55

















                                               

เหมือน entry นี้จะยาวเกินไปแล้ว
ขอลาไปก่อนด้วยภาพพระอาทิตย์ตกที่ทะเลสาบคาวากุจิครับผม














                                              

--------   TIPS  --------

- การเดินทางไปยังทะเลสาบยามานากะนั้นใช้บริการรถ
fujikyu bus ได้ฟรีเพราะรวมใน fuji hakone pass แล้ว

- นั่งรถบัสมาลงยังป้าย Hotel Mi.Fuji Iriguchi จะเห็นภูเขาได้ชัดกว่า
ลงที่ Asahigaoka ครับ