เมื่อเรือเฟอรี่ค่อยๆ เทียบท่า
ก็ถึงเวลาที่ผมต้องลงจากเรือแล้ว
ผมมองหาตู้โทรศัพท์เพื่อติดต่อโฮสต์เป็นอันดับแรก
โชคดีที่มันอยูู่ใกล้ๆ
โชคร้ายที่โทรไป แล้วดันฝากข้อความ
เสียฟรีไป 20 เยน
ผมโทรไปอีกครั้งด้วยความตื่นเต้น
"โมชิ โมชิ" โฮสต์รับสาย
ผมแนะนำตัว และบอกว่าได้มาถึงแล้ว
ด้วยความอ่อนด้อยทางภาษาอังกฤษ
ทำให้ผมจับใจความได้แค่ว่า
รออยู่นั้นละ เดี๋ยวไปรับ - -"
|
ต้องขอบคุณเจ้าตู้นี้ ที่ทำให้ผมรู้ว่า
โทรศัพท์สาธารณะยังมีประโยชน์อยู่ |
ผมเดินถ่ายรูปเล่นสักพัก
ไม่นานนัก ก็มีรถจี๊บ สีขาวขับตรงเข้ามา
กระจกรถค่อยๆเลื่อนลง
หน้าตาคุ้นๆ โฮสต์ผมนั้นเอง !!
(นี่คืออีกสิ่งสำคัญในการเลือกโฮสต์ ควรจะเลือกคนที่โพสต์รูปตัวเอง
สถานที่พัก บรรยากาศการทำงานไว้ด้วย จะทำให้เรารู้จักหน้าตาก่อนเจอตัวจริง)
ผมยัดเป้ใส่ท้ายรถ
ในรถมีเพื่อนที่เป็น wwoofer ด้วยกันอีก 2 คน
ขณะที่รถกำลังเคลื่อนไป
เราเริ่มทำความรู้จักกัน
โฮสต์ผม เธอชื่อหลุยซัง (ซัง หมายความ คุณ ใช้เรียกคนที่อายุเยอะกว่า)
เป็นสาวจากโตเกียว ที่หนีความวุ่นวาย
มาเปิดร้านกาแฟที่เกาะเล็กๆแห่งนี้
เธอเล่าให้ฟังว่า ตอนเด็กๆ เธอเคยลงเรียนวิชาภาษาไทยด้วย
ตอนนี้ลืมไปหมดแล้ว จำได้แค่ "สวัสดีค่ะ" "ขอบคุณค่ะ"
wwoofer คนแรกเป็นผู้ชาย ผิวคล้ำออกไปทางดำ
มาจากอเมริกา ชื่อ แบรนดอน (brandon)
แบรนดอนอายุน้อยกว่าผมไม่กี่ปี กำลังเรียนอยู่มหาวิทยาลัย
สนใจประเทศญี่ปุ่น และมีแพลนว่าจะไปwwoof ในหลายๆทีของโตเกียว
wwoofer อีกคนชื่อ คานะซัง เป็นคนญี่ปุ่น บ้านเกิดอยู่เกียวโต
กำลังตัดสินใจย้ายมาอยู่เกาะนี้ เพราะอากาศดีกว่าในเมืองมาก
ส่วนผมเป็นคนไทย ที่พูดญี่ปุ่นก็ไม่ได้ ภาษาอังกฤษก็ไม่คล่อง
มีแต่ใจที่รักการเดินทางเท่านั้น ฮิ้วว
หลุยซัง ขับรถวนชมวิว ให้คานะซังลงไปถ่ายรูป
ผมเลยถือโอกาส ลงไปถ่ายบ้าง
|
แอบถ่ายคานะซังจากด้านหลัง |
ผมรู้สึกว่า ถ้าถ่ายจากมุมสูงจะสวยกว่านี้
วิวตรงนี้มันโล่งมาก
จากที่ชื่นชมวิวจนหน่ำใจ หลุยซังก็ขับพามายังร้าน antenna
ร้านกาแฟเล็กๆ ที่นับจากนี้อีก 9 วันผมจะต้องทำงานอยู่ที่นี้
antenna เป็นร้านขายของที่ระลึก มีขนม ผลิตภัณฑ์ของเกาะนี้
รวมไปถึงจากประเทศแถบยุโรปด้วย และเป็นคาเฟ่เล็กๆที่ให้คนแถบนี้
มากินขนมปังและจิบกาแฟยามบ่าย ร้านเปิดบ่ายโมง และปิด 1 ทุ่ม
มาถึงก็เริ่มงานทันที
คิดในใจ นี่จะไม่ให้(กู)พักเลยหรือไง เดินทางจากโตเกียว
ตั้งแต่เมื่อวานมาเลยนะ - -*
แบรนดอน ทำหน้าที่สอนงานให้ เพราะ เขาอยู่ที่นี้มาเป็นเดือนแล้ว
ก่อนเปิดร้าน ก็ไม่มีอะไรมาก รดน้ำต้นไม้ กวาดหยากไย่ กวาดพื้น ถูพื้น ทิ้งขยะ
อืมม ไม่มีอะไรมาก..
เมื่อลูกค้าเข้ามาร้าน เราต้องรีบเสิร์ฟน้ำเปล่า ก่อนเป็นอันดับแรก
แล้วเอากระดาษจด ไปรับออร์เดอร์
ด้วยความที่ฟังภาษาญี่ปุ่นไม่ได้ เลยต้องขอบายหน้าที่นี้
(แนะนำว่าถ้าคุณมา wwoof และจะทำงานในร้านคาเฟ่ ควรจะมีทักษะในการพูด
และฟังนิดนึง หรือพกหนังสือสอนภาษาญี่ปุ่นมาอ่านด้วย จะได้ประโยชน์มากๆ)
ช่วงพักกลางวัน อาหารมื้อแรกที่ตกถึงท้อง เป็นขนมปังกับแยม และมะเขือเทศ
o_O" บ้านเขากินกันแค่นี้หรอ นี่มื้อกลางวันนะเนี่ยยย
ฝืนใจกินจนหมด รวมถึงมะเขือเทศที่ไม่ชอบด้วย
ผมหยิบข้าวแต๋น และทุเรียนกรอบออกจากกระเป๋า
แบ่งให้โฮสท์และเพื่อนวูฟทานกัน
คานะซังติดใจข้าวแต๋นมาก ส่วนแบรนดอนบอกว่าไม่เคยเห็นทุเรียนมาก่อน
ไม่รู้หน้าตาเป็นยังไง ผมเล่าสรรพคุณของมันให้ฟังว่า
บางคนบอกว่า มันเหม็นเหมือนขี้ และสนามบินห้ามนำทุเรียนขึ้นด้วย
แบรนดอนฮา บอกว่าเขาจินตนาการไม่ออกเลย
ถ้ามาไทย ทุเรียนคือสิ่งแรกที่เขาอยากลองทาน
หมดเวลาพัก ก็ได้เวลาทำงาน
วันนี้ลูกค้าค่อนข้างน้อย
เขาก็พยายามให้ผมเก็บนู้น กวาดนี้
ผมรู้สึกค่อนข้างเกร็ง
เวลาต้องมาอยู่คนเดียวกับคนแปลกหน้า
ที่สื่อสารกันคนละภาษา แต่มันสนุกตรงที่ได้เรียนรู้ระหว่างกันนี่ละ
จากคนไม่รู้จัก ก็จะเปลี่ยนมาทักกัน โดนไม่เขินอาย
ตกเย็นของวันนั้น ที่ร้านมีฉายหนัง เปิดผ่านโปรเจกเตอร์
มีกลุ่มคนเล็กๆ มานั่งชม ผมว่าคงเป็นคนรู้จักของหลุยซังนี่ละ
หนังที่ฉายเป็นเรื่องราวของชาวติมอร์ตะวันออก
ที่พยายามลุกขึ้นต่อสู้ เพื่อแยกตัวเป็นอิสรภาพจากประเทศอินโดนีเซีย
เรื่องมันเศร้าตรงที่ว่า รัฐบาลญี่ปุ่นเองกลับสนับสนุนอาวุธฝ่าย
อินโดนีเซีย เพื่อต่อต้านการเรียกร้องอิสรภาพในครั้งนี้
บางคนดูถึงกับน้ำตาซึม
แต่ผมดูถึงกลับง่วงซึม
เพราะมันเป็น subtiltle ภาษาญี่ปุ่น
ดูไปง่วงไป - -
(ขอบคุณ คานะซังที่แปลให้ฟังทีหลัง)
มีพี่คนคนนึงติสต์มาก ด้วยความซาบซึ้ง
เขาหยิบกีต้าร์ขึ้นมา ร้องเพลงคิดเนื้อกันสดๆ
เพลงที่สื่อถึงความเสียใจกับ คนที่จากไป
และให้กำลังใจกับคนที่ยังมีชีวิตอยู่
บรรยากาศเศร้า ปนความอบอุ่น
ผมรู้สึกได้ถึง มิตรภาพเล็กๆ ที่ก่อตัวขึ้น..